เมื่อกฎหมายไม่เป็นกฎหมาย พอมีความสูญเสียต้องมานั่งเสียใจ?

เหตุสลดรถกระบะอีซูซุ ดีแมคซ์ ทะเบียน ผจ 5322 ระยอง ที่ นายนิตยา สุขจันทร์ อายุ 27 ปี ขับแข่งกับรถกระบะแต่งซิ่งอีกคันมาบนถนนกิ่งแก้ว จนเสียหลักพุ่งชนทางเท้า เลยไปฟาดเสาไฟฟ้าอย่างแรง จนผู้ที่นั่งกระบะหลังกว่า 10 คนกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง

งานนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 13 คน!

ทั้งหมดเป็น นศ.ชั้น ปวส.ปี 2 แผนกช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ ที่มาฝึกงานที่อู่ภัทร บอดี้ เซอร์วิส ซอยกิ่งแก้ว 22/2 วันเกิดเหตุเป็นวันสุดท้ายของการฝึกงาน เจ้าของอู่เลยจัดเลี้ยงส่งให้ หลังจากนั้นทั้งหมดขึ้นรถกระบะไปดูคอนเสิร์ตหมอลำที่ซอยกิ่งแก้ว 2ก่อนเกิดเหตุสลด

อุบัติเหตุดังกล่าวทำให้ 13 ชีวิตที่กำลังจะเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน ต้องลาโลกไปอย่างน่าเสียดาย?!

สังคมตั้งคำถามถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐก็คือ ตำรวจ

ทำไมปล่อยปละละเลยให้นั่งกระบะหลัง ทั้งๆที่ผิดกฎหมายชัดเจน รวมถึงครอบครัวของนักศึกษาที่เสียชีวิต อย่าง นายศิลา กล้าจริง อายุ 47 ปี พ่อของ นายวีรวัฒน์ หรือแต๋ม กล้าจริง อายุ 17 ปี เรียกร้องว่า...

“ผมรู้สึกสูญเสียและเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น อยากให้หน่วยงานรัฐเข้มงวด กวดขันการนั่งท้ายรถกระบะที่ไม่มีความปลอดภัยใดๆเลย เมื่อบรรทุกคนมาก อุบัติเหตุการสูญเสียก็มากตาม เหมือนเหตุการณ์ครั้งนี้”

คุณพ่อผู้สูญเสียผู้นี้พูดได้ตรงประเด็น ถ้ายังจำกันได้เมื่อครั้งที่ภาครัฐออกมาตรการเข้มงวด เพื่อลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินในช่วงเทศกาลสงกรานต์

...

ขู่ว่าจะจับกุมอย่างเข้มงวด สำหรับคนนั่งกระบะท้าย!

เท่านั้นแหละ...กระแสต่อต้านอย่างรุนแรงไม่รู้มาจากไหน ถึงกับถอยกรูดยอมอนุโลมให้นั่งท้ายกระบะกันต่อไป เหมือนกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายยังไงชอบกล?

ทั้งที่กฎหมายแต่ละข้อ แต่ละมาตรากว่าจะคลอดมาได้ต้องผ่านการกลั่นกรองจากหลายฝ่ายว่าเหมาะสมกับสภาพสังคมและทำให้สังคมสงบสุข

อย่างเรื่องห้ามนั่งกระบะท้าย เห็นได้ชัดว่ามันอันตราย?!

ขนาดในรถกฎหมายยังบังคับให้ใส่เข็มขัดนิรภัย แล้วไอ้ที่นั่งตากลม ห่มฟ้าอยู่นอกเก๋งรถน่ะ มันจะไม่อันตรายได้ยังไง?

ถ้าไม่ให้บังคับใช้กฎหมายข้อนี้ ยกเลิกไปซะเลยดีกว่า ตำรวจจะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าละเว้น?

สหบาท