ในโลกหลังกำแพงสูง 6 เมตร ล้อมรอบรั้วไฟฟ้าแรงสูง มีหอคอยประจำพลแม่นปืนเฝ้าดูความเคลื่อนไหว “เรือนจำกลางบางขวาง” รู้จักกันว่า “แดนประหาร” ใช้คุมขังนักโทษคดีร้ายแรง หรือมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป จนถึงโทษประหารชีวิต

นับแต่สิ้นคำพิพากษา “ศาลยุติธรรม” ผู้กระทำผิดในคดีอาชญากรรมร้ายแรงที่สังคมยอมรับไม่ได้ ต้องถูกนำตัวมาอยู่เรือนจำกลางบางขวางแห่งนี้...

แล้วใครบ้างเล่ารู้ถึงโลกหลังกำแพงนี้...ต่างมีเรื่องราว “ลี้ลับ ซับซ้อน” ที่คนภายนอกแทบไม่มีใครล่วงรู้...ในการใช้ชีวิต “ผู้ต้องขัง” เต็มไปด้วย “ความเป็น ความตาย” ในสถานการณ์จำกัดอิสรภาพ และจำกัดพื้นที่...

แม้รู้สึกเหงา เคว้งคว้าง เศร้า สับสน ทุกข์ทรมานเพียงใด ก็ไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ทุกรูปแบบ บางคนไม่มีญาติพี่น้องให้คิดถึงด้วยซ้ำ ทำได้คือ “นั่งนับ วัน เดือน ปี” มองกำแพงสูงนี้ต่อไป...

ไม่ใช่เพียงแค่เท่านี้ “ผู้ต้องขัง” เข้ามาใช้ชีวิตในเรือนจำแห่งนี้ ต้องมี “สติ” รู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดี...รู้หลบเป็นหลีก ในการรักษาชีวิตให้อยู่ได้นานที่สุด เพื่อรอวันแห่งอิสรภาพ ทีม “สกู๊ปหน้า 1” มีโอกาสย่างก้าวเข้าไปสัมผัสกับ “คนใช้ชีวิตหลังกำแพงสูง”...ในดินแดนนักโทษประหาร ผ่าน “โครงการปั้นดินให้เป็นบุญ รุ่น 4”

ที่มีเรื่องเล่าถูกถ่ายทอดจากปาก “น.ช.ฟลุ๊ก” อายุ 22 ปี ชาว จ.พระนครศรีอยุธยา ก้าวมาอยู่ในเรือนจำกลางบางขวาง ในคดีลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ และพยายามฆ่าผู้อื่น ต้องโทษ 40 ปี เล่าว่า เมื่อจบชั้น ป.6 ได้ออกมาโลดโผน ผจญภัย ที่ใช้ชีวิตเด็กวัยรุ่นเต็มตัว...ในทำนองแบบเด็กเสเพลติดเพื่อนอย่างหนัก

...

มีจุดเริ่มต้น...ด้วยอาชีพรับจ้างในอู่ซ่อมมอเตอร์ไซค์ ที่มีเงินเดือนไม่แน่นอน และต้องรับจ้างลงแข่งรถมอเตอร์ไซค์เดิมพันกัน เพื่อหารายได้เสริมในสนามเถื่อน เมื่อได้เงินมามากเท่าไร ก็นำไปเที่ยวเตร่ กินเหล้า...เมายา ใช้ชีวิตเสเพลไร้จุดหมายที่ไม่มีประโยชน์ไปในแต่ละวัน

“พ่อแม่ ปู่ย่า ตักเตือน สั่งสอนแค่ไหน...ไม่เคยสนใจ แถมคิดว่า “พวกท่านขี้บ่น จู้จี้จุกจิก น่ารำคาญ” กลับมองว่า “เพื่อน” คือคนสำคัญที่สุด เข้าใจเราทุกเรื่องมากกว่า...”

ในช่วงนั้น...มีเรื่องชกต่อยทะเลาะวิวาทกับวัยรุ่นกลุ่มอื่นเป็นประจำ ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาคนอื่น มักมาขอความช่วยเหลือให้ออกรับหน้าแทนทุกครั้ง เพราะส่วนตัวมีบุคลิกใจร้อน...ใครมาขอความช่วยเหลือจะไม่เคยปฏิเสธ ทำให้มี “ศัตรู” เกิดขึ้นมากมาย กลายเป็นต้องอยู่อย่างระแวงระวังตัว จนหาซื้อปืนมาพกไว้ป้องกันตัวตลอด

สิ่งนี้กลับกลายเป็น “ความฮึกเหิม” ผลักดันเข้ามาอยู่ใน “เส้นทางสายโจร” เพราะมี “อาวุธปืนติดตัว” ยิ่งใจร้อนมากกว่าเดิม “ไม่รู้จัก...ปฏิเสธ” คิดเพียงว่า “อะไรก็ได้” เพื่อนชวนไปไหนต้องไปแบบถึงไหนถึงกัน และออกตระเวนก่อเหตุหาเงินทุกรูปแบบ ตั้งแต่ลัก วิ่ง ชิง ปล้นทรัพย์ ทั้งกลางวัน และกลางคืน

กระทั่งเดือน ส.ค.2559 สิ่งที่เคยสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น “จบเกมลง” ในช่วงกลางดึก...ออกเที่ยวเตร่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ใน อ.เมืองพระนครศรีอยุธยา มีเรื่องชกต่อยกับคู่อริเก่าเช่นเคย แต่ครั้งนี้เลวร้ายกว่าทุกทีที่ผ่านมา เพราะใช้อาวุธปืนยิงคู่กรณีเข้าลำตัวหลายนัด จนได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส

ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมได้ในเวลาต่อมา และมีการสืบสวนค้นประวัติอาชญากรรม พบว่าเคยก่อเหตุคดีอื่นมาอีก 5 คดี

“อัยการส่งคดีฟ้อง ศาล...มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก ในคดีแรก...ชิงทรัพย์ 5 ปี 6 เดือน คดีที่สอง...ชิงทรัพย์และพยายามฆ่าผู้อื่น 12 ปี 6 เดือน คดีที่สาม และคดีที่สี่...พยายามฆ่าผู้อื่น ส่วนคดีที่ห้า...ปล้นทรัพย์ ต้องติดคุกรวมทั้งสิ้น 40 ปี ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำใจยาก...กับเด็กอายุ 19 ปี ต้องรับโทษติดคุกยาวขนาดนี้ แต่ต้องยอมรับกับคำพิพากษาของศาล และชดใช้กรรม ในสิ่งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคม” น.ช.ฟลุ๊ก ว่า

นับแต่นั้น...โลกเสรีภาพต้องหยุดชะงักลง “ชีวิตถูกตีตรวน” เปลี่ยนคำนำหน้า “นาย” เป็น “น.ช.” ต้องใช้ชีวิตอย่าง “ผู้ต้องขัง” ร่วมกับนักโทษอุกฉกรรจ์ ตั้งแต่นักโทษตลอดชีวิต จนถึงนักโทษประหารฯ ภายในหลังกำแพงสูงของเรือนจำกลางบางขวางแห่งนี้...

ยอมรับว่า...วันแรกก้าวเข้ามาอยู่ในเรือนจำกลางบางขวาง...และมองไปรอบๆ ที่เห็นทุกอย่างเลวร้ายแย่ไปหมด ในหัวคิดถึง “ใบหน้าพ่อแม่” จน “ร้องไห้” ออกมาด้วยความเสียใจแทบเป็นสายเลือด ที่เข้ามาเผชิญการใช้ชีวิตอยู่กับนักโทษรุนแรงที่สุดของประเทศ ในบางคืนยังนอนผวาฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ไม่มีใครช่วยได้

แม้ว่าเคยเตรียมรับสภาพการเข้ามาชดใช้ผลกรรมนี้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังทำใจไม่ได้เช่นเดิม จนเกิดภาพหลอนเหตุการณ์ตัวเองเคยก่อขึ้นแบบไม่ตั้งใจ เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวตลอด เพราะความคึกคะนอง มีเพื่อนคอยยั่วยุ ยิ่งคิด...ก็ยิ่งเครียด...จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับอยู่หลายเดือน

ชีวิตตกต่ำถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่มีเพื่อนคนคุกด้วยกัน คอยปลอบให้กำลังใจ...

...

และต้องปรับตัว...หยุดคิด...ด้วยการทำกิจกรรมต่างๆ มองว่าคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งมีประโยชน์ คือต้องยอมรับความจริง และอยู่กับสิ่งแวดล้อมในเรือนจำนี้ให้ได้...เพราะยิ่งฝืนความจริงมากเท่าไร...ยิ่งเป็นผลร้ายกับตัว มีหลายคนเสียชีวิต ด้วยการผูกคอตาย หรือหลายคนปรับตัวไม่ได้ ก็เป็นบ้า เสียสติถาวร...

อย่างไรก็ดี ความจริง...ก็คือความจริง ไม่มีใครฝ่าฝืนกฎความจริงนี้ไปได้ และต้องรับสภาพชดใช้ผลกรรมนี้ ทำให้มีชีวิตรอดปลอดภัย และก้าวจากเรือนจำออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ได้ ซึ่งมองบวกว่าคนติดคุกไม่ใช่คนโชคร้ายเสมอไป คนเข้ามาอยู่จุดนี้แล้ว...คิดอะไรไม่ได้มากกว่า คือ คนโชคร้าย...

วันเวลาการใช้ชีวิตในคุกกลับได้ประสบการณ์เรียนรู้อีกโลกของความใกล้ตายมากมาย ทำให้เกิดการคิดทบทวนความผิด รู้จักวางแผน การดำรงชีวิตอย่างระวัง ไม่ให้ก้าวผิดซ้ำกลับเข้ามาอยู่เรือนจำอีก หรือไม่ให้สังคมภายนอก ดูถูกดูแคลน เริ่มหันมาเรียนหนังสือระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และตั้งเป้าเรียนให้จบระดับปริญญาตรี

...

ตามที่เรือนจำกลางบางขวาง เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขัง ได้เรียนหลักสูตรวิชาชีพ และหลักสูตรสายสามัญ ตั้งแต่ระดับชั้นประถม จนถึงปริญญาตรี ซึ่งมีผู้สำเร็จการศึกษา และกำลังศึกษาอยู่มากมาย เพราะการศึกษาจะเป็นประโยชน์ให้กับนักโทษ ในการเตรียมตัวพ้นโทษออกไปเริ่มต้นชีวิต กลับตัวเป็นคนดี ไม่กระทำผิดซ้ำอีก

ยกตัวอย่างเช่น...“โครงการปั้นดินให้เป็นบุญ” ใช้กระบวนการพุทธศิลป์ คือ การปั้นพระพุทธรูป ถูกใช้มาเป็นเครื่องมือให้ผู้ต้องขัง รู้จักคุมอารมณ์ เพราะการปั้นพระพุทธรูปมีความยากง่ายต่างกัน ทุกคนต้องใช้สมาธิขั้นสูง และเกิดกระบวนการคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน

อีกทั้งทุกคนต้องมีจิตใจตั้งมั่นอยู่กับการปั้นพระพุทธรูป แม้เข้าโรงนอน ยังคิดหาวิธีการแก้ปัญหาจุดบกพร่องผ่านให้ได้ ก่อนลงมือปั้น ต้องปรับสภาพอารมณ์ ตั้งสติ ทำจิตใจสงบนิ่งว่างเปล่า เพื่อให้พระพุทธรูปที่มีพระพักตร์ดูสงบเย็น บอกถึงความเมตตา มีลักษณะงดงาม ส่งผลให้ผู้ปั้นเกิดการขัดเกลาจิตใจ เพราะอยู่กับเรื่องพระและศาสนาตลอดเวลาช่วงฝึกอบรมโครงการนี้ สร้างเป็นงานชิ้นแรก สามารถทำสำเร็จด้วยตัวเอง

สิ่งสำคัญเห็นภาพถ่าย มีบุคคลภายนอก กราบไหว้บูชาพระพุทธรูป ที่พวกเราตั้งใจปั้นขึ้นมานี้ ทั้งที่เป็นฝีมือของนักโทษ แสดงให้เห็นว่าทุกคนให้เกียรติผู้ปั้น กลายเป็นความสุขความภาคภูมิใจของพวกเรามากยิ่งขึ้น

ย้ำฝากเตือนใจว่า...ความใจร้อนเสี้ยววินาที คือบ่อเกิดแห่งความหายนะ สามารถทำลายชีวิตทั้งชีวิตได้ ที่ต้องแยกแยะความเป็นเพื่อนและความผิดออกจากกัน เพราะเมื่อเกิดเรื่องราวของคดีความขึ้น จะไม่มีใครยื่นมือช่วยเหลือเลย แม้คนเคยบอกว่า “เพื่อนตาย” ต่างหนีหายหาทางเอาตัวรอด

ตอนนี้อยู่ในเรือนจำผ่านมา 3 ปี ไม่เคยมีเพื่อนคนไหนมาสนใจ แต่ที่เห็นกลับมีเพียงพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย คอยเป็นห่วงมาให้กำลังใจทุกครั้ง

...

เรื่องนี้นำมา “เตือนสติกัน” จะทำอะไร ต้องคิดทบทวน อย่าคิดแค่เพียง “อารมณ์ชั่ววูบ” เพราะเสี้ยววินาทีที่มีความโกรธ...อาจเป็นโทษตลอดชีวิต.