• จากนี้ ผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง สามารถรับยาจากร้านยาได้
  • เดิมผู้ป่วยสิทธิบัตรทองต้องรับยาจากโรงพยาบาลเท่านั้น
  • ดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป
  • สำหรับผู้ป่วย 4 โรค คือ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบหืด จิตเวช
  • นำร่องกับผู้ป่วย 50 โรงพยาบาล รับยาได้ที่ร้านยา 500 แห่ง
  • โรงพยาบาลที่พร้อมดำเนินการ โรงพยาบาลระยอง เชียงรายประชานุเคราะห์ สวนปรุง ชลบุรี เลิดสินนพรัตน์ และราชวิถี   

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการ หรือ บอร์ดกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง เห็นชอบให้ผู้ป่วยรับยาที่ร้านยาเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือ สธ. ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด สปสช.ได้เห็นชอบตามข้อเสนอดำเนินงานเพื่อรองรับนโยบาย ให้ผู้ป่วยรับยาที่ร้านยา ลดความแออัดโรงพยาบาล ตามที่คณะอนุกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์นำเสนอ เพื่อพัฒนาระบบบริการภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หากมีความพร้อมทุกด้านให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า การดำเนินงานนโยบายนี้ มีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยไม่ต้องรอยานานและได้รับคำแนะนาการใช้ยาอย่างมีคุณภาพ โดยเริ่มนำร่องในปีงบประมาณ 2563 ในโรงพยาบาลไม่เกิน 50 แห่ง ร้านยาไม่เกิน 500 แห่ง และจะทยอยเพิ่มเติมในปีถัดไป เบื้องต้นกำหนดขอบเขตการจ่ายยาให้ผู้ป่วย 4 กลุ่มโรค คือ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบหืด จิตเวช หรือ โรคเรื้อรังที่ไม่มีความซับซ้อนในการดูแล ให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ป่วยและยาที่ผู้ป่วยได้รับจากร้านยาต้องเป็นยาเดียวกับที่ได้รับจากโรงพยาบาล ซึ่งผู้ป่วยไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มเติม คาดว่าจะมีประมาณร้อยละ 30 ของผู้รับบริการ            

...

ทั้งนี้ การดำเนินงานระหว่างเครือข่ายโรงพยาบาลและร้านยา กำหนด 3 ทางเลือก โดยโรงพยาบาลยังเป็นผู้รับผิดชอบยาและได้รับการชดเชยค่ายาเหมือนเดิม คือ 1. โรงพยาบาลจัดยารายบุคคลส่งให้ร้านยา ไม่ช่วยลดภาระงานของโรงพยาบาล 2. โรงพยาบาลจัดสำรองยาไว้ที่ร้านยา เป็นเหมือนคลังยาของโรงพยาบาล ช่วยลดภาระงานที่โรงพยาบาลได้ แต่มีภาระการดูแลคลังยาย่อยที่ร้านยา และ 3. ร้านยาดำเนินการจัดการด้านยาเอง แต่ต้องมีราคายามาตรฐานที่โรงพยาบาลจ่ายให้กับร้านยา ส่วนจะเป็นรูปแบบใดให้ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลตกลงกับร้านยา โดยงบประมาณที่ใช้นำร่องนโยบายในปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 153 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจัดบริการด้านยาและเวชภัณฑ์ของร้านยา 70 บาทต่อครั้ง และค่าจัดบริการด้านยาและเวชภัณฑ์ของหน่วยบริการร่วมกับร้านยา เหมาจ่ายอัตรา 33,000 บาทต่อร้านยา 1 แห่งต่อปี         

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ บอร์ดฯ ยังได้อนุมัติหลักการให้ใช้เงินกองทุน รายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสะสม ที่เป็นการคาดการณ์งบประมาณคงเหลือของเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2562 จำนวนไม่เกิน 399 ล้านบาท เพื่อดำเนินงานนำร่องตามนโยบายนี้ พร้อมเห็นชอบเสนอต่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศกำหนดค่าจัดบริการด้านยาและเวชภัณฑ์สำหรับร้านยา และค่าจัดบริการด้านยาและเวชภัณฑ์ของหน่วยบริการร่วมกับร้านยา เป็นค่าใช้จ่ายอื่นตามข้อ 3 (1) แห่งคำสั่ง คสช.ที่ 37/2559 และข้อ 18(7) แห่งประกาศ กสธ.ที่ออกภายใต้คาสั่ง คสช.ที่ 37/2559 เพื่อให้มีกฎหมายรองรับการดำเนินงาน          

จากนโยบายนี้ ผู้ป่วยยังคงพบแพทย์เหมือนเดิม มารับการตรวจตามนัดที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม แต่ผู้ป่วยจะสามารถเลือกได้ว่าจะรับยาที่ห้องยาของโรงพยาบาล หรือ จะรับยาที่ร้านยาตามใบสั่งแพทย์ หากผู้ป่วยรับยาที่ร้านยาก็ไม่ต้องมารอคิวเพื่อรับยานานเป็นชั่วโมง แถมยังสามารถซักถามหรือขอคำแนะนำการใช้ยากับเภสัชกรที่ร้านยาได้ ขณะเดียวกัน ยังช่วยลดความแออัดผู้ป่วยในโรงพยาบาลลงได้ นับเป็นการพัฒนาระบบบริการเพื่อดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ต้องมีการประเมินผลเพื่อดูประสิทธิผลนโยบายนี้    

นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. กล่าวว่า ภายหลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายนี้ในการประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา สปสช. ได้รับมอบนโยบาย โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารณสุขและองค์กรวิชาชีพเภสัชกรรม ในการเตรียมระบบรองรับ อาทิ ระบบขึ้นทะเบียนร้านยาของโรงพยาบาลเข้าร่วมเป็นหน่วยร่วมให้บริการด้านเภสัชกรรม ระบบการจ่ายชดเชยบริการ จ่ายให้ร้านยาต่อครั้งบริการ และจ่ายให้โรงพยาบาลเป็นเหมาจ่ายตามจำนวนร้านยา ระบบข้อมูลยืนยันตัวตนผู้ป่วยและระบบเบิกจ่ายชดเชย ระบบเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยและร้านยา ระบบกำกับติดตามประเมินผลภาพรวมโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และระบบกำกับติดตามคุณภาพบริการร้านยาโดยสภาวิชาชีพ รวมทั้งการทบทวนระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามนโยบาย

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2562 ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเตรียมความพร้อมโรงพยาบาลและร้านยาที่เข้าร่วมดำเนินการ โดย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน มีโรงพยาบาลเข้าร่วม 35 แห่ง ร้านยา 141 แห่ง ผลสรุปจากการประชุมต่างเห็นพ้องว่าเป็นแนวทางที่ดีเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลได้ โดยได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งมีโรงพยาบาลหลายแห่งพร้อมเริ่มดำเนินการทันที อาทิ โรงพยาบาลระยอง เชียงรายประชานุเคราะห์ สวนปรุง ชลบุรี เลิดสินนพรัตน์ และราชวิถี เป็นต้น