กรมศิลป์ผนึกกำลังทุกภาคส่วน เตรียมเสนอ “ย่านเมืองเก่าภูเก็ต” ขึ้นทะเบียนมรดกโลกในปี 2563 ชูอารยธรรมความเจริญรุ่งเรืองจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ดีบุก สู่สถาปัตยกรรม ชิโนโปรตุกีส จากเมืองท่าจนถึงเมืองตากอากาศ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของแดนใต้ พร้อมยก “ปีนัง มะละกา” เป็นต้นแบบไทยเตรียมเสนอสถานที่สำคัญอีกแห่งเข้าสู่การขึ้นทะเบียนมรดกโลกในปีหน้า
โดยเมื่อวันที่1 ก.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากรว่า กรมศิลปากรร่วมกับจังหวัดภูเก็ตเตรียมนำเสนอเขตเมืองเก่าภูเก็ตเข้าสู่การขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยจัดทำเอกสารนำเสนอเอกสารเพื่อเข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentativelist) ภายในปี 2563 ทั้งนี้ ได้กำหนดกรอบเขตพื้นที่โดยรอบย่านเมืองเก่าที่มีสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือน รูปแบบชิโนโปรตุกีส สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก ในแหลมมลายู ในยุคสมัยแห่งจักรวรรดินิยมของตะวันตก ราว พ.ศ.2054 ได้แก่ ถนนรัษฎา ถนนพังงา ถนนเยาวราช ถนนกระบี่ถนนดีบุก ถนนถลาง ตนได้หารือกับนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงประชาชนในพื้นที่ที่จะร่วมผลักดันการดำเนินงานร่วมกันให้สำเร็จลุล่วงให้ได้
นายอนันต์กล่าวต่อว่า จากการประชุมหารือร่วมกันเห็นตรงกันว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย มีการผลักดันเสนอเมืองปีนังขึ้นทะเบียนมรดกโลก เช่นเดียวกับประเทศฟิลิปปินส์เสนอเมืองมะละกาได้สำเร็จ เมื่อพิจารณาในส่วนของไทยก็เห็นว่าศักยภาพของเมืองเก่าภูเก็ต ที่มีความโดดเด่นที่คล้ายคลึงกับ 2 เมืองดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นย่านที่มีผู้อยู่อาศัยอยู่เป็นปกติ โดยอยู่ในเกณฑ์พิจารณาเมืองที่พัฒนาการมาจากความเจริญรุ่งเรือง และความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ดีบุก สั่งสมเกิดเมืองเก่า ที่มีสถาปัตยกรรมมีเอกลักษณ์แบบชิโนโปรตุกีส เพราะประวัติศาสตร์เมืองภูเก็ตมีหัวใจสำคัญคือการทำเหมืองแร่ ก่อนที่จะเป็นเมืองท่า เมืองตากอากาศ จนพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคใต้
...
อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวอีกว่า เรามีประสบการณ์การทำงานในการเสนอเอกสารการพิจารณาขึ้นทะเบียนมรดกโลกมามาก โดยเฉพาะการนำเสนอแหล่งโบราณคดี ที่จะต้องมีเอกสาร งานวิจัย ที่บ่งบอก อายุ การกำหนดยุคสมัยของสถานที่นั้นๆ แต่การนำเสนอเอกสารเสนอย่านเก่าเมืองภูเก็ตนั้นมีข้อได้เปรียบ ที่ขณะนี้เรามีทั้งข้อมูลเอกสาร ภาพจดหมายเหตุ และภาพถ่าย นำมาใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงของการประกอบเอกสารได้ตรงเป้าหมายค่อนข้างครบถ้วน แต่อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช
ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการจัดทำเอกสารให้ติดตามการทำงานให้พิถีพิถันรัดกุม รอบคอบ ชี้ให้ชัดถึงคุณค่า และความสำคัญของร่องรอยอารยธรรมความเจริญรุ่งเรืองของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ เป็นอุตสาหกรรมที่ทำให้ดึงคนภายนอกจังหวัด และชาวต่างชาติให้เข้ามาทำธุรกิจการค้า และอพยพย้ายถิ่นสู่ตลาดการค้า ให้เมืองแห่งนี้มีความร่ำรวยทรัพยากร มีความรุ่งเรืองทางการค้า ก่อให้เกิดการปรากฏงานสถาปัตยกรรมที่เป็นผลสืบเนื่องจากการทำเหมืองแร่ดีบุกขึ้นมา คงเอกลักษณ์จนถึงปัจจุบัน ตลอดจนมีการอนุรักษ์สืบทอดความเป็นของแท้ดั้งเดิมเอาไว้ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทั้งนี้แม้ว่าตนจะเกษียณราชการในปีนี้ก็จะฝากให้อธิบดีกรมศิลปากรคนใหม่สานต่อให้สำเร็จ และพยายามสร้างความเข้าใจกับคนในพื้นที่ด้วย