เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคุณ Shashi Verma ผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยีประจำ Transport for London (TfL) ได้เข้าพบคุณสุราษฎร์ เจริญชัยสกุล รองผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) และคณะ ที่สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร และได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในเมืองหลวงซึ่งมีความท้าทายและความคล้ายคลึงกันระหว่างสองประเทศ

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่ากรุงเทพมหานครติดอันดับเมืองที่มีการจราจรติดขัดอันดับต้นๆของโลก อันที่จริงระบบขนส่งสาธารณะมีตัวเลือกมากมาย ทั้งรถ เรือ ราง แต่เหตุใดตัวเลขการใช้บริการขนส่งสาธารณะกลับไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร สวนทางกับตัวเลขการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น การสนทนาในครั้งนี้จึงเป็นการถอดบทเรียนจากปัญหาที่ทางลอนดอนได้เคยเผชิญมาแล้วเช่นกันเมื่อ 20 ปีก่อน

ความเชื่อมโยง พื้นฐานของขนส่งสาธารณะที่ดี

จุดเริ่มต้นของการพัฒนาการเดินทางที่เชื่อมโยงด้วยบัตรใบเดียวของลอนดอนเริ่มขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว TfL คือ หน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นมา โดยการควบรวมกิจการของรัฐกว่า 14 บริษัท เพื่อควบคุมและกำกับดูแลการเชื่อมโยงการเดินทางผ่านคมนาคมขนส่งที่มีตัวเลือกมากมายในตัวเมืองลอนดอน ทั้งรถไฟใต้ดิน รถประจำทาง ที่ดำเนินกิจการโดยผู้ให้บริการที่ได้รับสัมปทานกว่า 9 บริษัท ขณะนั้นให้อยู่ภายใต้บัตรเดียวที่ชื่อว่า Oyster Card

TfL เริ่มต้นด้วยการเจรจากับหน่วยงานเอกชน ตามด้วยการให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์แบบไม่มีค่าใช้จ่าย คุณ Shashi ย้ำว่าหลักการสำคัญที่ทำให้โครงการประสบความสำเร็จก็คือ ความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้เรื่องนี้เกิดขึ้น โดยคุณ Shashi อธิบายเพิ่มเติมถึงเบื้องหลังว่า ได้มีการตั้งคณะทำงานจากตัวแทนของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อหารือเรื่องนี้ และมีการประชุมกันทุกวันตลอดระยะเวลา 3 ปีเต็ม!

...

เมื่อระบบขนส่งสาธารณะมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น ประโยชน์ที่ผู้ใช้ได้รับแน่นอนว่าคือความสะดวกสบายที่ไม่ต้องเปลี่ยนบัตรโดยสารหลายครั้ง รวมถึงประหยัดค่าแรกเข้าที่จะต้องเสียทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงประเภทการโดยสาร เช่น ค่าโดยสารขั้นต่ำของการขึ้นรถเมล์ 8 บาท ต่อด้วยการต่อรถไฟฟ้า 15 บาทและการต่อรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างปลายทางอีก 20 บาท เป็นต้น

ความสะดวกสบาย ใช้บัตรเครดิต หรือมือถือแตะเพื่อเดินทาง แก้ปัญหาการต่อคิวเพื่อเติมเงินบัตรโดยสาร

หลายท่านคงทราบกันดีว่า ไม่ว่าจะเดินทางด้วยบัตรโดยสารขนส่งสาธารณะประเภทใดก็ตาม การต้องต่อแถวยาวๆเพื่อเติมเงินเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและอาจนำมาซึ่งปัญหาในวันที่เร่งรีบ โจทย์นี้จึงเป็นปัญหาต่อยอดมาจากเรื่องของความเชื่อมโยงของระบบโดยสารสำหรับ TfL

Contactless Payment คือ ตัวเลือกของการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่ต้องอาศัยบัตรโดยสาร เพียงแค่ใช้บัตรเครดิต หรือชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือก็สามารถผ่านประตูได้เช่นเดียวกัน (ภาพ : สัญลักษณ์ Contactless Payment บนบัตรเครดิต เพียงมีสัญลักษณ์นี้ ไม่ว่าบัตรจะมาจากที่ใดบนโลกใบนี้ ก็สามารถผ่านประตูกั้นของระบบขนส่งสาธารณะที่รองรับระบบนี้ได้ทั้งสิ้น)

ไอเดียเรื่อง Contactless Payment เริ่มขึ้นในปี 2006 ภายใต้แนวคิด “แตะเพื่อเดินทาง” (Tap and Go) ซึ่งในปัจจุบันระบบนี้เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศทั่วโลกและธนาคารต่างก็ผลิตบัตรที่มีสัญลักษณ์นี้

นอกจากจะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน ระบบนี้ยังช่วยให้ต้นทุนการเก็บค่าโดยสารของ TfL ถูกลงกว่า 5% ซึ่งส่งผลดีต่อการพัฒนาระบบขนส่งในระยะยาว

ราคาที่เข้าถึงได้ แรงจูงใจในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ

ในระหว่างการสนทนาได้มีการพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับต้นทุนการบริหารที่ลดลงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางผู้ให้บริการที่ลดต้นทุนการตรวจสอบการชำระเงินรายวัน (Clearing House) หรือต้นทุนการออกตั๋วที่ลดลงจาก Contactless Payment แล้วในกรณีนี้ “ผู้ใช้บริการได้รับอะไรบ้าง?”

คุณ Shashi ได้ให้คำตอบเรื่องการใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงกับทางกรุงเทพมหานครไว้สองตัวเลือกด้วยกัน คือ 1.ลดราคาค่าโดยสาร และ 2.นำกำไรที่เพิ่มขึ้นมาพัฒนาระบบขนส่ง ซึ่งทาง TfL เลือกตัวเลือกที่ 2 ด้วยเหตุผลว่ามีมาตรการอื่นๆ ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงการเดินทางด้วยระบบสาธารณะในราคาที่ถูกอยู่แล้ว โดยมาตรการดังกล่าวก็คือ ค่าใช้จ่ายสูงสุดในการเดินทางต่อวัน (Daily Cap) และค่าใช้จ่ายสูงสุดในการเดินทางต่อสัปดาห์ (Weekly Cap)

คุณ Shashi อธิบายว่า ระบบการคิดราคาของการเดินทางในลอนดอนนั้น มีความซับซ้อนมาก หากคุณเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วน (Peak hours) คุณก็จะถูกเก็บค่าโดยสารในราคาที่แพงกว่า อย่างไรก็ตาม หากคุณเดินทางด้วยราคา Peak hours สองเที่ยวต่อวัน บวกค่าโดยสารอีกนิดหน่อย คุณก็จะแตะเพดานราคา (Daily Cap) และไม่ต้องจ่ายส่วนที่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป และหากคุณเดินทางด้วยยอด Daily Cap ครบ 5 วันต่อสัปดาห์ (เดินทางไปทำงาน) คุณก็จะแตะเพดาน Weekly Cap ซึ่งก็หมายความว่า การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะในวันเสาร์อาทิตย์จะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

บทสรุป ขนส่งสาธารณะทำมาเพื่อประชาชน

ตลอดการสนทนาได้เห็นความตั้งใจจริงของหน่วยงานไทย ทาง กทม. ได้มีคำถามต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการขนส่งมวลชนมากมาย ซึ่งคุณ Shashi ได้ให้ข้อสรุปถึงประเด็นการพูดคุยในวันนี้ว่า

“สุดท้ายต้องไม่ลืมว่าเราอยู่ที่นี่เพื่อผู้ใช้บริการ ระบบขนส่งสาธารณะไม่ได้ทำมาเพื่อผู้ให้บริการขนส่ง แต่เพื่อผู้ใช้บริการ น่าเสียดายที่เสียงของผู้ใช้บริการไม่ได้อยู่ที่นี่กับเราด้วย เราอาจจะนั่งลงแล้วพูดคุยกับ BTS หรือ MRT และมีเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เต็มไปหมด แต่ขาดเพียงผู้ใช้บริการ ดังนั้นจึงจำเป็นยิ่งที่เราจะต้องทำให้แน่ใจว่าเราเป็นตัวแทนเสียงของผู้ใช้บริการ”

...

: ข้อมูลจากเอกสารข่าว British Embassy Bangkok วันที่ 8 สิงหาคม 2562.