ประเด็นสำคัญ
- ใน 1 ปี มีผู้ติดเชื้อวัณโรคมากถึง 1.2 แสนคนต่อปี หรือ ภายใน 1 วัน มีคนไทยติดเชื้อวัณโรค 328 คน
- ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข พยายามเร่งรัดค้นหา ผู้ป่วยที่ติดเชื้อวัณโรค เพราะการแพร่เชื้อง่ายมาก
- สธ.นำรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ ไปเอกซเรย์นักโทษ 3 แสนคน
- แต่จำนวนแพทย์ไม่เพียงพอที่จะอ่านแผ่นเอกซเรย์ได้หมด เพราะต้องใช้เวลานาน จึงส่งผลให้ไม่สามารถนำตัวคนไข้ที่มีความเสี่ยงไปตรวจเสมหะ เพื่อวินิจฉัยโรคได้อย่างทันท่วงที
- นพ.ท่านหนึ่งและคณะ พยายามคิดค้นเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อแก้ปัญหา โดยมุ่งหวังที่จะตัดวงจรการแพร่เชื้อ
- จนมาพบเข้ากับเทคโนโลยี AI ซึ่งมีการทดลองนำไปใช้แล้ว พบว่า สะดวก รวดเร็ว ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถนำผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อไปทำการ
- รักษา และลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
- ล่าสุด กรมควบคุมโรค เล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีข้างต้น จึงเชิญแพทย์เจ้าของแนวคิดไปหารือ เพื่อนำ AI มาใช้คัดกรองวัณโรคแล้ว
----- ----- -----
“ไทยติดอันดับ 1 ใน 14 ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อวัณโรคสูง จำนวน 1.2 แสนคนต่อปี
แต่เข้าถึงการรักษาแค่ 60% เสียชีวิตปีละ 1.2 หมื่นราย”
พญ.ผลิน กมลวัทน์ ผู้อำนวยการสำนักวัณโรค
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวกับทีมข่าวเช่นนั้น
...
ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ขอเปิดเรื่องด้วยตัวเลขทางสถิติ เพื่อให้ผู้อ่านได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของประเด็นนี้ไปพร้อมๆ กัน หรือในอีกแง่หนึ่ง หลายคนอาจจะให้ความสนใจในประเด็นดังกล่าวอยู่แล้ว เพราะสืบเนื่องจากกรณีของดารา และบุคคลที่มีชื่อเสียงป่วยด้วยวัณโรค จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต กระทั่งวันนี้ "วัณโรค" ได้กลายเป็นประเด็นที่กระตุกให้สังคมได้คิด พร้อมกับให้ความสำคัญในเรื่องนี้...
และคุณรู้หรือไม่ว่า วัณโรค ได้พรากชีวิตของคนไทยไปแล้วมากมายถึงเพียงใด...พญ.ผลิน ผู้อำนวยการสำนักวัณโรค ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า องค์การอนามัยโลก จัดให้ประเทศไทยติด 1 ใน 14 ประเทศที่พบผู้ป่วยวัณโรคสูง โดยพบอัตรา 1.2 แสนคน/ปี(ภายใน 1 วัน มีคนไทยติดเชื้อวัณโรค 328 คน) มีผู้เข้าถึงระบบการรักษาเพียงร้อยละ 60 และเสียชีวิตสูงถึงปีละ 12,000 ราย ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอยู่ไม่น้อย
พญ.ผลิน ผู้อำนวยการสำนักวัณโรค ระบุว่า ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ได้มีมาตรการเร่งรัดค้นหานำตัวผู้ป่วยที่ติดเชื้อมารักษา เพื่อตัดวงจรการแพร่เชื้อ เพราะด้วยความที่เชื้อสามารถแพร่ได้ง่ายมาก และมีการติดต่อในระบบทางเดินหายใจ
“ฉะนั้น การที่ประชาชนใช้บริการรถไฟฟ้า เดินในห้างสรรพสินค้า จึงมีโอกาสรับเชื้อ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่แออัด เช่น กลุ่มนักโทษ ยิ่งมีความเสี่ยงสูง และที่ผ่านมา สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค ได้มีการนำรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ ไปเอกซเรย์นักโทษทั้งหมด 3 แสนคน เพื่อวินิจฉัยว่าป่วยเป็นวัณโรคหรือไม่ หากพบว่าติดเชื้อ ก็ต้องรีบนำตัวมาให้ยาป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดโรคในอนาคต” พญ.ผลิน ผู้อำนวยการสำนักวัณโรค ให้ข้อมูลจากประสบการณ์การทำงาน
ด้วยความที่ แผ่นเอกซเรย์มีจำนวนมาก แต่แพทย์มีจำนวนไม่เพียงพอ จึงทำให้แพทย์ไม่สามารถอ่านแผ่นเอกซเรย์ได้หมด และไม่สามารถนำตัวคนไข้ที่มีความเสี่ยงไปตรวจเสมหะ เพื่อวินิจฉัยโรคได้อย่างทันท่วงที แต่ขณะเดียวกัน ก็มีนายแพทย์คนหนึ่งและคณะ พยายามคิดค้นหาวิธีเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งมุ่งหวังที่จะตัดวงจรการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคไปสู่ผู้อื่น โดยไม่มีจุดประสงค์ที่จะหวังเงินทองแต่อย่างใด...
...
นายแพทย์ พัฒนา AI คัดกรองวัณโรค หวังช่วยลดจำนวนการแพร่เชื้อ
นายแพทย์ที่เรากล่าวมาแล้วข้างต้น คือ ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ พงศ์พิรุฬห์ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัย 43 ปี ซึ่ง ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ ยอมเปิดใจกับเราว่า แม้ว่า สำนักวัณโรคจะมีนโยบายการตรวจคัดกรองวัณโรคจากคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อเนื่องทุกปี แต่อุปสรรคคือ จำนวนแพทย์มีจำกัด และมีภาระงานด้านอื่นๆ ค่อนข้างมาก จึงทำให้แพทย์มีเวลาอ่านผลเอกซเรย์ได้เพียงไม่กี่รายเท่านั้น และไม่สามารถนำตัวผู้ที่ติดเชื้อไปทำการรักษาได้ทันที
“ณ เวลานี้มีแผ่นเอกซเรย์เก่าๆ ของแต่ละปีสะสม และรอแพทย์อ่านอยู่เป็นจำนวนมาก เราจะนำภาพเอกซเรย์เข้าโปรแกรม AI (เทคโนโลยีโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์) ที่เราทำขึ้นมา ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งวินาทีต่อรูป โปรแกรมก็จะแสดงผลให้ทราบว่า เจ้าของแผ่นเอกซเรย์นั้นๆ ติดเชื้อวัณโรคอยู่หรือไม่”
“การใช้เทคโนโลยี AI ใช้เวลาในการตรวจหาเชื้อวัณโรคให้กับคน 1,200 คน (1 แผ่นเอกซเรย์ = 1 คน) ใช้เวลาอ่านเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้วใช้เวลาเฉลี่ยถึง 5 เดือนในการอ่านผลเอกซเรย์จำนวนเท่านี้ และเราได้ทดลองการใช้งานกับฟิล์มเอกซเรย์ของผู้ที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อไปแล้วหลายหมื่นราย พบว่า เทคโนโลยี AI สามารถตรวจพบผู้ติดเชื้อวัณโรคได้จริง มีความแม่นยำ โดยมีประสิทธิภาพในการคัดกรองวัณโรคได้ถึง 96%” ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ กล่าวด้วยสายตามุ่งมั่น
...
AI คัดกรองวัณโรค ค้นให้เจอ พาไปรักษา ป้องกันแพร่กระจาย
ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ พยายามนำข้อมูลมาอธิบายให้เห็นภาพใหญ่ว่า ปัจจุบัน การตรวจวัณโรคในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ 1. การตรวจวัณโรคแบบรายคน และ 2. การค้นหาและป้องกันการระบาด
“ยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ เราจะเห็นว่า ช่วงที่ผ่านมา มีดาราป่วย และเมื่อดาราไปพบแพทย์ ก็จะได้รับการตรวจวินิจฉัย จนพบว่าเขามีเชื้อวัณโรคซ่อนอยู่ นี่คือรูปแบบที่ 1 คือ การตรวจวัณโรคแบบรายคน ซึ่งการตรวจลักษณะนี้ ไม่สามารถทำการตรวจประชาชนจำนวนมากๆ ได้ หากจะตรวจในคนหมู่มาก จะต้องใช้งบประมาณมหาศาล”
“ส่วนการตรวจวัณโรคด้วยเทคโนโลยี AI ที่ผมทำนั้น เป็นไปในเชิงสาธารณสุข หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ การใช้ AI ตรวจให้รู้ในเวลาอันรวดเร็วว่าใครมีเชื้อวัณโรคอยู่บ้าง และเราจะได้รีบทำการรักษาเขาครับ”
โดยกลุ่มเสี่ยงของผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อวัณโรคนั้น มักจะเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่แออัด เช่น นักโทษ รวมถึงผู้ที่ทำงานในพื้นที่ที่มีอากาศปิด เช่น คนขับรถแท็กซี่, คนขับรถตู้ เป็นต้น
...
“ตัวแท็กซี่ หรือคนขับรถตู้เอง ก็ไม่รู้ว่าผู้โดยสารคนใดที่ป่วยเป็นวัณโรค หากมีผู้โดยสารคนใดสักคนหนึ่งที่ป่วยด้วยโรควัณโรคขึ้นรถมา ซึ่งผู้โดยสารท่านนี้เขาอาจจะรู้หรือไม่รู้ตัวก็ตาม แล้วเขาไอในรถสัก 3 ที หากคนขับรถสาธารณะต้องเจอกรณีลักษณะนี้บ่อยๆ เขาอาจไม่ติดเชื้อในครั้งแรก แต่อาจจะติดเมื่อเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ในครั้งต่อๆ ไป”
“จากนั้น คนขับรถสาธารณะ เขาอาจจะไอจามและแพร่เชื้อนี้ไปหาใครสักคน หรือถ้าโชคร้าย คนคนนั้นอาจเป็นคุณ เพราะฉะนั้น เทคโนโลยีนี้จึงจะเข้าไปช่วยดักสกัดคนเหล่านี้(คนที่ติดเชื้อ)ก่อนที่จะมาเจอกับคุณครับ” ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ พยายามบอกเล่าให้ประชาชนเข้าใจ และเกิดความตระหนัก
ขั้นตอนการใช้ AI ตรวจหาวัณโรค
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ หลายคนอาจสงสัยการทำงานของ AI คัดกรองวัณโรค ซึ่ง ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ ได้อธิบายเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อที่จะให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า
1. หน่วยงานราชการเชิญนักโทษ(กลุ่มเป้าหมายที่กรมควบคุมโรคมุ่งเน้น) มาตรวจคัดกรองวัณโรค
2. นำรถเอกซเรย์เคลื่อนที่มาให้บริการ โดยเชิญนักโทษเดินขึ้นไปบนรถ เพื่อเอกซเรย์ทรวงอก
3. เครื่องเอกซเรย์ เก็บไฟล์ภาพเอกซเรย์ไว้ในฮาร์ดดิสก์
4. นำอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยี AI อ่านไฟล์ที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์
5. เทคโนโลยี AI จะประมวลผลออกมา โดยเป็นลักษณะของตัวเลข 0 ถึง 1 เช่น 0.56, 0.99 เป็นต้น (ประมวลผลจากรูปที่มีข้อมูลเป็นพิกเซล เปลี่ยนมาเป็นตัวเลข)
6. เทคโนโลยี AI จัดเรียงลำดับผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อวัณโรคจากมากไปหาน้อย
7. ผู้ที่มีผลคะแนนลำดับต้นๆ ถือว่า มีความน่าสงสัยที่จะติดเชื้อวัณโรค
8. แพทย์จะรู้ได้ทันทีว่า นักโทษรายใดมีความเสี่ยง และจะนำไปสู่ขั้นตอนการตรวจเสมหะ เพื่อวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็ว
“เทคโนโลยี AI สามารถอ่านผลหลังจากที่ขึ้นไปเอกซเรย์บนรถได้ทันที เมื่อทราบผลคะแนนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องก็สามารถแจ้งผู้รับบริการได้ ณ เวลานั้นเลย หากผลวินิจฉัยวัณโรคออกมาแล้วพบว่า มีความเสี่ยงจะติดเชื้อ แพทย์ก็สามารถนำบุคคลท่านนั้นๆ ไปตรวจเสมหะ เพื่อวินิจฉัยวัณโรค และทำการรักษาได้อย่างรวดเร็ว” ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ พยายามกล่าวเรื่องเทคโนโลยีและเรื่องสาธารณสุขให้เข้าใจง่ายที่สุด
AI คัดกรองวัณโรค ประโยชน์มหาศาล
“หากนำรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ ไปบริการตรวจสุขภาพให้แก่นักโทษ แต่กลับไม่มีแพทย์อ่านผลเอกซเรย์ ย่อมเท่ากับว่า การให้บริการครั้งนั้นๆ เปล่าประโยชน์ แต่ถ้าเรานำเทคโนโลยี AI มาใช้คัดกรองวัณโรคได้ ก็จะทำให้ลดโอกาสที่ผู้ติดเชื้อจะไปแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น”
“แค่นี้ก็ประโยชน์มหาศาลแล้วนะครับ เพราะเดิมทีหน่วยงานราชการต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการจ้างแพทย์มานั่งอ่านแผ่นเอกซเรย์เป็นกองๆ มิหนำซ้ำยังต้องใช้เวลานานหลายเดือน หรืออาจมากกว่านั้น” ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ กล่าวจากความรู้สึกของคนที่เห็นภาพปัญหาและอยากหาทางแก้
พัฒนาแล้ว ได้ใช้จริง!
โดยล่าสุด นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้เล็งเห็นถึงเทคโนโลยี AI คัดกรองวัณโรค และได้มีการพูดคุยกับ ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ และคณะ เพื่อหาแนวทางนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ ซึ่งสองฝ่ายมองเห็นถึงปัญหาตรงกันว่า แม้ว่าจะนำรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ไปให้บริการประชาชนได้ แต่ก็ยังติดอุปสรรคเรื่องการรอผลอ่านฟิล์มเอกซเรย์ที่ค่อนข้างล่าช้า เนื่องจากไม่สามารถหาแพทย์ที่มีเวลา เดินทางไปอ่านภาพถ่ายรังสี(แผ่นเอกซเรย์)ในพื้นที่ ขณะทำการเอกซเรย์
นายแพทย์สุวรรณชัย เปิดเผยกับทีมข่าวว่า “การมี AI จะช่วยคัดกรองผู้ที่มีภาพเอกซเรย์ปกติออกก่อน และจะเหลือไว้แค่ผู้ที่มีภาพเอกซเรย์ผิดปกติ ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าสงสัยว่าจะเป็นวัณโรค ฉะนั้น เทคโนโลยีนี้จึงเป็นประโยชน์ที่ว่า 1. แพทย์อ่านซ้ำน้อยลง 2. ศักยภาพในการอ่านฟิล์มเพิ่มมากขึ้น 3. ผู้รับบริการทราบผลเอกซเรย์เร็วขึ้น 4. ไม่มีต้นทุน และสุดท้ายก็จะนำไปสู่การตรวจเสมหะ เพื่อวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็ว และจะสามารถขยายครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ซึ่งจะเริ่มต้นโดยเน้นไปที่กลุ่มนักโทษในเรือนจำ”
ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ ยังระบุอีกว่า ล่าสุด ตนและคณะได้หารือกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ซึ่งทางสำนักอนามัยสนใจและมีแผนที่จะนำ AI ไปใช้คัดกรองวัณโรค โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ โชเฟอร์แท็กซี่
"หากความร่วมมือกับกรมควบคุมโรค สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จะถือว่านี่เป็นครั้งแรกในโลกที่ทีมพัฒนาเทคโนโลยี AI จับมือกับภาครัฐระดับประเทศ และนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองวัณโรคได้จริง อีกทั้งยังประหยัดเวลารอยืนยันผลอ่านเอกซเรย์จาก 5 เดือน เหลือเพียงแค่ 10 นาที" ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ กล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
ไม่ได้เงิน เสียเวลา ทำไมต้องมาพัฒนา AI คัดกรองวัณโรคเพื่อคนอื่น
เมื่อถามว่า ทำไมนายแพทย์คนหนึ่งถึงสามารถพัฒนาเทคโนโลยีลักษณะนี้ขึ้นมาได้ ทีมข่าวได้รับคำตอบจาก ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ ว่า ด้วยความที่สมัยยังเป็นเยาวชน ตนเคยเป็นนักเรียนคอมพิวเตอร์โอลิมปิก ซึ่งมีพื้นฐานความรู้ในการเขียนโปรแกรมอยู่แล้ว และทบทวนความรู้อยู่เสมอ จึงเอาทักษะที่มีเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาต่อยอดพัฒนาเป็นโปรแกรมเพื่อการแพทย์ โดยทำงานร่วมกับทีมทำงานอีก 2 ท่าน
เมื่อถามอีกว่า เงินที่ใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ดังกล่าว ใช้งบประมาณมากน้อยเพียงใด และใครเป็นผู้สนับสนุน ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ ตอบข้อซักถามนี้อย่างซื่อๆ ว่า “ผมออกเงินเองครับ(หัวเราะ) และทำกับน้องๆ อีก 2 คน คนหนึ่งเป็นแพทย์เหมือนกัน คือ นพ.ศีลวันต์ สถิตรัตนชีวิน โรงพยาบาลบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี และอีกคนหนึ่งมีดีกรีเหรียญทองคอมพิวเตอร์โอลิมปิก คือ พนาสัน สุนันต๊ะ”
"วัณโรควินิจฉัยไม่ง่าย และคนในสังคมก็ยังมีคนด้อยโอกาสอยู่มาก ซึ่งคนด้อยโอกาสในที่นี้ไม่ใช่ด้อยโอกาสในแง่ของเศรษฐกิจ สังคม แต่พวกเขาด้อยโอกาสในแง่ที่จะเข้าถึงการตรวจรักษาจากแพทย์ที่เหมาะสม ดังนั้น เทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นมานี้ จึงเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับผู้ที่ด้อยโอกาส"
“ในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา อาจเสียค่าใช้จ่ายไปบ้าง ประมาณ 3 แสนบาทครับ เสียเงินไปบ้างก็ไม่เป็นไร ถือว่าเราได้ความรู้ทางเทคโนโลยีเพิ่มเติม ระบบสาธารณสุขไทยก็พัฒนาขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยเราก็ดีขึ้น(ยิ้ม)” ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ ทิ้งท้าย.
- น่ารู้
โดยทั่วไปแล้ว การตรวจหาวัณโรค จะต้องใช้ข้อมูลหลายด้านประกอบกัน จึงจะสามารถสรุปได้ว่า ผู้ป่วยท่านนั้นๆ ป่วยเป็นวัณโรคหรือไม่ โดยแพทย์จะต้องใช้ข้อมูลดังต่อไปนี้
1. ประวัติและอาการของผู้ป่วย
2. ผลเอกซเรย์ (X-Ray)
3. ตรวจเสมหะ - ย้อมเสมหะและตรวจด้วยกล้อง จุลทรรศน์
4. ผลการเพาะเชื้อ - ส่งเสมหะเพาะเชื้อวัณโรค ใช้เวลานานประมาณ 4-8 สัปดาห์ จึงจะรู้ผล
5. การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อวัณโรค - มีค่าใช้จ่ายสูง
โดยปกติจะใช้ข้อมูลข้อ 1-3 เนื่องจาก ข้อ 4 และ 5 ใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง