ผกก.สน.พระโขนง เผยกำลังตรวจสอบที่มาเหตุรถบิ๊กไบค์พุ่ง ยังติดต่อเจ้าของรถ เพื่อปรับความเข้าใจไม่ได้ ส่วนเจ้าของรถ ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ประเมินราคาราว 4 หมื่น....
จากกรณีที่โลกออนไลน์มีการแชร์คลิป จากผู้ใช้เฟซบุ๊ก "ตรัยภพ ขอนขาว" ซึ่งเป็นคลิปขณะผู้ใช้เฟซบุ๊ก ขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ออกไปรับประทานข้าว จากนั้นเจอด่านตรวจ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกให้ทำการหยุดรถเพื่อขอทำการตรวจสอบ แต่ขณะนั้น รถเกิดพุ่งเข้าหาเจ้าหน้าที่ และเสียหลักล้มลงบนพื้นถนน ทำให้ผู้ขับขี่ เกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ และเป็นข้อถกเถียงอย่างมากในโลกออนไลน์ว่า ใครคือผู้กำคลัตช์
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ พ.ต.อ.ทินกร สมวันดี ผกก.สน.พระโขนง ได้รับการเปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นัดหมาย นายตรัยภพ ผู้ขับขี่บิ๊กไบค์ มาชี้แจงรายละเอียดและปรับความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่สามารถติดต่อประสานนายตรัยภพได้ และจะพยายามติดต่อนายตรัยภพต่อไป
(ชมคลิป ที่นี่)
เมื่อถามว่า ณ ขณะนี้ ชาวเน็ตมีการตั้งประเด็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นผู้กำคลัตช์ หรือมือไปโดนคลัตช์ รถบิ๊กไบค์คันดังกล่าวหรือไม่? พ.ต.อ.ทินกร ระบุว่า กำลังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และอะไรเป็นสาเหตุให้รถพุ่งตัวออกไป
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดในคลิปว่า จะแจ้งข้อหาพยายามฆ่านั้น ได้เรียกเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวมาพูดคุยแล้ว และไม่ได้ดำเนินคดีในข้อหาพยายามฆ่าแต่อย่างใด และจากการตรวจสอบพบว่า
- ผู้ขับขี่ขับรถผ่านมา โดยไม่ได้พกใบอนุญาตขับขี่และนำมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ
- ไม่ติดตรึงแผ่นป้ายทะเบียนรถให้เห็นเด่นชัด(ติดใต้ซุ้มล้อ)
- ไม่นำสมุดหรือสำเนาคู่มือการจดทะเบียนรถมาแสดงให้กับเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบได้
- นำตัวส่งพนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับ
- ไม่ได้มีการดำเนินคดีข้อหาพยายามฆ่า
...
ขณะที่ นายตรัยภพ ขอนขาว หรือ เบิร์ด อายุ 25 ปี ผู้โพสต์คลิป เล่าว่า ตนไม่มีเจตนาหลบหนี หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ ตนชะลอรถเบี่ยงซ้ายเพื่อเข้าจอด แต่รถยังจอดไม่สนิท และมีเจ้าหน้าที่เข้ามาขวางหลายคนทั้งซ้าย-ขวา คลัตช์กระเด้ง ทำให้มือตนหลุดไปโดนคันเร่ง รถจึงกระตุกไปข้างหน้า ก่อนเสียหลักล้มลง
ต่อมา มีการเปรียบเทียบปรับ 2,000 บาท จากนั้นตนได้คุยกับร้อยเวรเจ้าของคดีและนำภาพกล้องให้ดู ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเปลี่ยนท่าทีและพูดว่า "ทำไมปรับเยอะจัง" จากนั้นข้อหาที่ตั้งมาทั้งหมด จึงถูกปรับแค่ข้อหาปกปิดแผ่นป้ายทะเบียนเท่านั้น จำนวน 500 บาท ส่วนความเสียหายของรถ ตนต้องจ่ายเงินซ่อมเอง โดยมีค่าใช้จ่ายราวๆ 40,000 บาท.