ในบรรดาสินค้าเกษตรทั้งหมด จีนมีความต้องการถั่วเหลืองมากที่สุด คิดเป็นถึง 1 ใน 3 ของความต้องการทั่วโลก เนื่องจากใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเต้าหู้ นมถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง และอาหารสัตว์
ปี 2560 จีนนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯมากที่สุดในสัดส่วน 56.9% รองลงมาเป็นเม็กซิโก ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และในปีนี้ศูนย์ข้อมูลธัญพืชและน้ำมันแห่งชาติของจีน (China Grain and Oils Information Center) คาดการณ์ว่าจีนจะต้องนำเข้าถั่วเหลืองมากถึง 89 ล้านตัน
แต่ด้วยสงครามทางการค้าที่ค่อนข้างดุเดือดของ 2 มหาอำนาจนี้ China Daily สื่อท้องถิ่นของจีนรายงานว่า ถั่วเหลืองของสหรัฐฯอาจสูญเสียตลาดจีนโดยสิ้นเชิง หากสถานการณ์สงครามการค้ายังคงดำเนินต่อไป
และมีแนวโน้มเป็นเช่นนั้น เมื่อไปดูรายงานของสภาการส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ (The US Soybeans Export Council) ปี 2560 สหรัฐฯส่งออกถั่วเหลืองมูลค่ากว่า 12,250 ล้านดอลลาร์ไปจีน แต่พอเกิดสงครามการค้าในปีถัดมา มูลค่าการส่งออกลดเหลือแค่ 3,100 ล้านดอลลาร์...หายไปถึงประมาณ 75%
เช่นนี้โอกาสจึงเปิดกว้างสำหรับประเทศอื่น โดยเฉพาะรัสเซีย ที่มีพรมแดนติดกับจีน ซึ่งได้เปรียบในเรื่องต้นทุนค่าขนส่ง และความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะมีปัญหาต่อกันเท่าใดนัก
แม้จีนจะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกถั่วเหลืองเพื่อลดการนำเข้า จนได้ผลผลิตในปีนี้ถึง 16.8 ล้านตัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการที่มีมากถึง 89ล้านตัน
ประเทศอื่นอาจจะเห็นเป็นโอกาส แต่สำหรับไทยเราคงไม่ต้องพูดถึง ยังไงก็ต้องนำเข้าวันยังค่ำ ลำพังแค่ผลผลิตในประเทศ ได้แค่ปีละไม่เกิน 4 ตัน สนองความต้องการบริโภคทั้งประเทศได้แค่ 2% เท่านั้น
จากนี้ไปคงต้องจับตามอง สหรัฐฯ จะหาวิธีไหนทดแทนส่วนแบ่งตลาดที่เสียไปจากจีน แต่ที่ค่อนข้างชัวร์ ไทยเป็นหนึ่งในแคนดิเดตแน่ๆ เพราะเราไม่มีทางให้เลือกมากนัก
...
ขึ้นกับว่าจะมาไม้ไหน จะบี้เราแบบให้นำเข้าหมูหรือเปล่า ต้องดูกันยาวๆ.