เมื่อวาน ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.อำนาจ สุวรรณฤทธิ์ ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความรู้... การปลูกพืชใช้ทั้งเคมีและอินทรีย์ร่วมกันให้เหมาะกับดินแต่ละแห่ง และพืชแต่ละชนิดจะได้ผลดีที่สุด
แล้วถ้าปลูกแบบอินทรีย์อย่างเดียว แบบที่คนแทบทั้งโลกเชื่อว่าสุดยอดที่สุดล่ะ จะเป็นอย่างไร???
มีงานวิจัยหลายชิ้น โดยเฉพาะของ Torstensson, G. and coauthors. 2006 โดย Philadelphia, Pennsylvania, USA ซึ่งใช้เวลาทดลองกว่า 10 ปี ในดินต่างชนิดกัน
ระบุว่าการผลิตพืชอินทรีย์ก่อให้เกิดมลพิษการสะสมไนเตรตในพืช การชะล้างไนเตรตสู่แหล่งน้ำ การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่าการทำเกษตรปลอดสารพิษ หรือเกษตรปลอดภัย
เพราะปุ๋ยอินทรีย์มีอัตราการปลดปล่อยไนโตรเจนไม่สอดคล้องกับความต้องการของพืชแต่ละช่วงอายุ และเราไม่สามารถไปควบคุมกลไกตรงนี้ได้เลย
บางช่วงดินมีไนโตรเจนเกินปริมาณที่พืชต้องการ ทำให้มีไนเตรตสะสมในพืชมากเกินไป เมื่อคนกินเข้าไปก็เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เสี่ยงต่อการเกิดการชะล้างไนโตรเจนในรูปไนเตรตลงสู่แหล่งน้ำ
ยังมีอีกงานวิจัยที่ผ่านการตีพิมพ์อีกหลายฉบับบอกตรงกัน ปลูกพืชอินทรีย์ทำให้ปลดปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์จากดินมากกว่าปุ๋ยเคมี เพราะคาร์บอนในปุ๋ยอินทรีย์ทำให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตมากขึ้น การใช้ออกซิเจนจึงมากขึ้นตาม จนส่งผลให้ดินขาดออกซิเจน เมื่อดินขาดออกซิเจนก็ทำให้ดินต้องปลดปล่อยก๊าซทั้งสองชนิดอันเป็นก๊าซเรือนกระจกออกมาจากดิน
นอกจากนั้นการปลูกพืชอินทรีย์ใช้ต้นทุนผลิตต่อหน่วยเยอะกว่า สำคัญที่สุดปุ๋ยอินทรีย์มีไนโตรเจนมากกว่าธาตุอื่น ทำให้พืชบ้าใบเขียวและอวบน้ำ กลายเป็นตัวล่อโรคแมลงอย่างดี และอ่อนแอไม่ทนทาน
ด้วยธาตุอาหารอื่นน้อยจึงชัดเจนว่า คุณค่าทางโภชนาการย่อมไม่ได้ดีไปกว่าปลูกพืชปลอดภัย ที่สำคัญแม้ในวิทยาการก้าวหน้าเช่นปัจจุบัน เรายังตรวจสอบไม่ได้เลยว่า “ที่พูดกันอินทรีย์ 100% นั้นจริงหรือไม่”
...
ข้อดีประการเดียวของพืชอินทรีย์คือ ปลอดภัยไร้สารตกค้าง แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันผิดมาตลอด.
สะ–เล–เต