“บัตรพลังงาน” ลวงโลก หลอกคนเมื่อ 10 ปีก่อนกลับมาระบาดอีกครั้ง อ้างสรรพคุณรักษาสารพัดโรค ช่วยประหยัดพลังงาน จนมีชาวบ้านหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก อาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ ได้ย้ำเตือนถึงภัยร้ายในสังคมไทย เพราะไม่ว่าจะผ่านมากี่สิบปี เกิดบทเรียนในอดีตคดีแชร์แม่ชม้อย แชร์แม่นกแก้ว แชร์ชาร์เตอร์ แต่แชร์ลูกโซ่แฝงมากับธุรกิจต่างๆ ยังไม่หมดหายไป

ส่วนวิธีการหลอกลวงของแชร์ลูกโซ่ ยังคงเป็นแบบเดิมๆ ไม่แตกต่างจากในอดีตมากนัก ในการระดมเงินจากประชาชนอ้างไปลงทุน จูงใจด้วยผลตอบแทนสูงเกินจริง และนำเงินจากรายใหม่มาจ่ายรายเก่า เมื่อสมาชิกมากขึ้นเป็นภาระในการจ่ายเงินผลตอบแทน ในที่สุดพวกหัวโจกจะหอบเงินก้อนใหญ่หนีหาย

"สามารถ เจนชัยจิตรวนิช" ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ "ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์" ว่า ปัจจุบันแชร์ลูกโซ่มีหลายรูปแบบ จะเลือกเหยื่อหลอกลวงด้วยวิธีต่างๆ หากเป็นคนต่างจังหวัดจะเลือกวิธีหนึ่ง ส่วนคนเมืองจะเลือกอีกวิธีหนึ่ง โดยที่ผ่านมาประชาชนยังขาดความรู้เรื่องแชร์ลูกโซ่ เป็นการหลอกลวงอ้างทำธุรกิจที่เป็นการมโนขึ้นมา ด้วยการระดมทุนจากประชาชน ส่วนใหญ่อยู่ในคราบธุรกิจขายตรง มีการให้คำแนะนำหาสมาชิก และมีบางคนรู้ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ แต่อยากเป็นสมาชิกระดับบนในการชักชวนคน เนื่องจากลงทุนน้อย เพื่อจะได้ค่าตอบแทนจากคนอื่นๆ โดยการวางแผนธุรกิจ 20 ขั้น และเลิกไป ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผู้ตกเป็นเหยื่อ และก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

“แม้ที่ผ่านมามีข่าวต่อเนื่อง แต่ยังมีคนตกเป็นเหยื่อ เมื่อไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจ ก็ไม่สามารถเอาเงินคืนมาได้ จึงต้องหลอกคนต่อไป อย่างคดีแชร์ลูกโซ่ยูฟัน จนถึงขณะนี้ผู้เสียหายยังไม่ได้เงินคืน ทำให้แชร์ลูกโซ่ไม่มีวันหมด เพราะไม่ได้เงินคืน ต้องรอให้คดีถึงที่สุดเสียก่อน อย่างคดีแชร์แม่นกแก้ว มีเหยื่อรายหนึ่งสูญเงินไปแสนกว่าบาท ใช้เวลา 30 ปีจึงได้เงินคืน แต่ได้เพียง 3 พันกว่าเท่านั้น จึงมีทั้งคนไปหลอกคนอื่นต่อ และบางคนหาทางออกไม่ได้ต้องฆ่าตัวตาย เพราะหน่วยงานรัฐไม่ได้ทำงานเชิงรุก อย่างบัตรพลังงานลวงโลก ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ ไม่มีการเยียวยาผู้เสียหาย จึงมีการหลอกคนอื่นต่อ ทำให้เหยื่อแชร์ลูกโซ่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งหน่วยงานรัฐไม่กล้าบอกตัวเลขว่าเท่าไร และเมื่อมีอีกคนเป็นเหยื่อ คนที่อยู่ข้างหลังก็จะเดือดร้อนตามมา จะเห็นว่าทุกวันนี้มีการโกงแบบรายชั่วโมง มีสารพัดแชร์ลูกโซ่ออกมา”

...

พร้อมเสนอว่าควรมีบทลงโทษเหมือนคดียาเสพติด โดยการขึ้นแบล็กลิสต์คนกระทำผิด และเยียวยาเหยื่อ เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐปล่อยปละละเลย ไม่มีเจ้าภาพรับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้ปัญหาแชร์ลูกโซ่เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งยังไม่มีมาตรการใดๆ ช่วยเหลือผู้เสียหายจากแชร์ลูกโซ่ ซึ่งถือเป็นภัยร้ายทำลายเศรษฐกิจ เพราะยิ่งมีแชร์ลูกโซ่หลอกลวงกันมากขึ้น ยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ บ่อนทำลายชาติอย่างร้ายแรง โดยคนรากหญ้าโดนหลอกมากสุด แต่สูญเงินไม่มาก ส่วนคนระดับบน เมื่อโดนหลอกจะเสียเงินจำนวนมาก นอกจากนี้พบว่าข้าราชการครูโดนหลอกมากสุด ได้รับความเดือดร้อนกลายเป็นหนี้สหกรณ์ครู

ส่วนข้อสังเกตเบื้องต้นว่าเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่ 1.เมื่อมีคนชวนมาร่วมลงทุน เสนออัตราผลตอบแทนที่สูง ให้สันนิษฐานไปก่อนว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ 2.ธุรกิจขายตรง ต้องประกอบธุรกิจตรงไปตรงมา โดยไปตรวจสอบกับสคบ. ไม่ใช่การจำลองธุรกิจเหมือนมีอยู่จริง ขณะที่บริษัทขายตรงเบื้องหลังบัตรพลังงานลวงโลก พบว่าได้ยื่น สคบ.จดขายเฉพาะสบู่เท่านั้น 3.กรณีธุรกิจต่างประเทศ ต้องตรวจสอบที่มารายได้ในการนำเงินเข้าประเทศ ซึ่งต้องมีการสำแดง ตาม พ.ร.บ.ของศุลกากร

“อย่าเชื่อแม้แต่คนใกล้ชิด เพราะบางคนไม่มีหนทาง เมื่อตกเป็นเหยื่อโดนหลอกไม่ได้เงินคืน จะไปหลอกคนอื่นต่ออีก จากคนดีกลายเป็นคนไม่ดี เป็นอาชญากร เมื่อได้เงินมาจึงทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำไม่ได้ผิดอะไร ดังนั้นประชาชนต้องป้องกันตัวเอง เมื่อกฎหมายบ้านเราห่วย เอื้อให้โจรไ้ด้เดินเหินเดินเล่นได้สบาย ซึ่งผู้เกี่ยวข้องต้องพัฒนากฎหมายให้ทันสมัย ควรตั้งกองทุนช่วยเหลือเหยื่อผู้ได้รับความเสียหาย ยกตัวอย่างประเทศแอลบาเนีย เคยเกิดปัญหาแชร์ลูกโซ่ เพราะนักการเมืองมีส่วนรู้เห็น จนเศรษฐกิจประเทศนี้ล้มละลาย ต้องปิดประเทศนาน 20 ปี ถามว่าบรรทัดฐานในเมืองไทย มันเกิดอะไรขึ้น และกรณีบัตรพลังงานลวงโลก มีคนตายแล้ว 1 คนที่สงขลา เพราะคนป่วยเลิกกินยา ยังไงก็ตาย สุดท้ายเป็นความผิดของคนตายหรือ อยากให้ประชาสัมพันธ์หากมีคนตายอีกจากบัตรลวงโลก ให้มาเอาเงินเยียวยาจากผม 2 หมื่นบาท”.