2 หมื่น-2 แสน ช่วยเคลียร์คดีถูกสอบทุจริต

กองปราบฯตามลากคอผัวเมียแสบ อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ติดต่อข้าราชการที่มีแผล สามารถเคลียร์คดีได้ เรียกรับเงินวิ่งเต้นรายละ 20,000-200,000 บาท ตามความหนักเบาของคดี รายได้อู้ฟู่เดือนละ 1 ล้านบาท ประวัติยาวเหยียด ผัวมีหมายจับติดตัว 10 หมาย ส่วนเมียมี 2 หมาย เคยถูกจับกุมมาแล้วแต่ไม่เข็ด ได้ประกันตัวกลับมาก่อคดีแบบเดิมอีก งานละเอียดหาชื่อและคดีที่ติดตัวเหยื่อจากเว็บไซต์ของหน่วยราชการที่กฎหมายระบุให้เผยแพร่ และตามหน้าหนังสือพิมพ์ รับติดพนันและเอาเงินไปเลี้ยงตีสนิทข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สร้างความน่าเชื่อถือ

จับคู่ผัวเมียแสบอ้างเป็น ป.ป.ช.รีดเงิน เปิดเผยขึ้นที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 15 พ.ค. พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ต.เอกพล ปัญจมานนท์ สว.กก.2 บก.ป. พร้อมด้วยนายสุทธิ บุญมี ผอ.สำนักกิจการสืบสวนและกิจการพิเศษ ป.ป.ช. แถลงผลจับกุมนายแก้ว ประสมผล อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 ซอยร่วมพัฒนา ถนนตากวน-หาดทรายทอง ต.มาบตาพุด อ.เมืองระยอง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนางรอง ที่ จ 144/2559 ลงวันที่ 5 ก.ย.2559 ข้อหาร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำตนเป็นเจ้าพนักงานโดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้นและข้อหาหมิ่นประมาท และจับกุมนางอรุณรัตน์ วังพรม อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34 หมู่9 ต.นาดี อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 99/2561 ลงวันที่ 8 ก.พ.2561 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โดยแสดงตนเป็นคนอื่น จับกุมทั้งคู่ได้ที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ หมู่ 7 ต.มะเริง อ.เมืองนครราชสีมา

พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนเป็นสามีภรรยากัน มีพฤติการณ์สุ่มโทรศัพท์ไปหาผู้บริหารองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ผู้บริหารโรงเรียนจำนวนมากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ อ้างว่า มีคดีหรือถูกตรวจสอบทรัพย์สินเรื่องอยู่ที่ ป.ป.ช. โดยอ้างชื่อกรรมการ ป.ป.ช. รวมถึงอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. หรืออนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่สามารถให้ความช่วยเหลือด้านคดีได้ ทำให้มีผู้บริหารท้องถิ่นหลายแห่งหลงเชื่อ ยอมโอนเงินให้ผู้ต้องหา ตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท มีเงินที่ได้จากการหลอกลวงเข้าบัญชีผู้ต้องหาไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1 ล้านบาท รวมค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วกว่า 5 ล้านบาท และตรวจสอบพบว่า ทั้งคู่เคยถูกเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมมาแล้ว ต่อมาได้ประกันตัวออกมาแล้วหลบหนีคดี กลับมากระทำความผิดลักษณะเดิมอีกจนถึงปัจจุบัน

...

“จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คนให้การรับสารภาพว่า ทำผิดจริง เนื่องจากต้องการหาเงินไปใช้เป็นทุนในการเล่นการพนันและนำไปเป็นค่าใช้จ่ายดูแลและรับประทานอาหารกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ผู้ต้องหาทั้งสองต้องการเข้าไปตีสนิทด้วยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เอาไว้ใช้หลอกลวงเหยื่อต่อไป” พ.ต.อ.อรุณกล่าว

ด้านนายสุทธิ บุญมี กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เริ่มก่อเหตุลักษณะดังกล่าวตั้งแต่เมื่อเดือน ส.ค. ปี 2558 กระทั่งก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวนายแก้วได้แล้ว 1 ครั้ง ดำเนินการตามกฎหมาย แต่นายแก้วยื่นขอรับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วหลบหนี ก่อนมาก่อเหตุซ้ำอีก สำหรับพฤติการณ์นายแก้วจะหาข้อมูลคดีของผู้เสียหายที่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์หน่วยงานตามที่กฎหมายกำหนดให้เปิดเผย แล้วค้นหารายชื่อที่ถูกนำเสนอในข่าว เลือกผู้เสียหายกลุ่มที่อยู่ระหว่างชี้มูลความผิด ก่อนสืบหาและโทรศัพท์ติดต่อไปหาเหยื่อ พร้อมอธิบายขั้นตอนการไต่สวนของ ป.ป.ช. จากนั้นจะเสนอตัวว่าสามารถช่วยเหลือคดีได้ จนผู้เสียหายหลงเชื่อ

“จากนั้นคนร้ายจะให้เหยื่อโอนเงินค่าวิ่งเต้นคดี ผ่านบัญชีธนาคารที่คนร้ายจ้างเปิดโดยไม่รับเป็นเงินสด เนื่องจากเรียนรู้จากความผิดพลาดหลังถูกจับกุมครั้งแรก จากการตรวจสอบพบว่า มีการโอนเงินครั้งละ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาทตามแต่ความผิดของเหยื่อ รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ราย จาก แนวทางการสืบสวนเชื่อว่า คนร้ายยังมีเครือข่ายอื่นอีก ขอให้ประชาชนเฝ้าระวังอย่าหลงเชื่อ ยืนยันว่า ป.ป.ช.ไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเรียกรับ ผลประโยชน์ช่วยเหลือคดี หากพบจะดำเนินการตาม กฎหมายอย่างเด็ดขาด ส่วนประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสความผิดได้ที่สายด่วน 1205” นายสุทธิกล่าว

มีรายงานด้วยว่า จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาทั้ง 2 คนพบว่า ตัวนายแก้วมีหมายจับคดีลักษณะดังกล่าวติดตัวอยู่ถึง 10 หมายจับ ส่วนนางอรุณรัตน์มีคดีลักษณะดังกล่าวติดตัว 2 คดี เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาตามหมายจับกับนายแก้ว นำตัวส่ง สภ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ดำเนินคดี ส่วนนางอรุณรัตน์ นำตัวส่ง สภ.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ดำเนินคดีต่อไป