กสศ. ร่วม 5 หน่วยงาน ลุยช่วยกลุ่มเด็กเปราะบางบนท้องถนน จำนวน 81 คน ที่ริมทางรถไฟยมราช มีแนวโน้มหลุดจากระบบการศึกษา คืนสู่ห้องเรียนอย่างยั่งยืน รับเปิดเทอมนี้
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 62 ที่บริเวณริมทางรถไฟยมราช กรุงเทพฯ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก จัดกิจกรรมเสริมความพร้อมส่งน้องไปโรงเรียน ให้แก่เด็กกลุ่มเปราะบาง บนวิถีชีวิตถนน จำนวน 81 คน
ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือในอนาคตระหว่าง กสศ. กรุงเทพมหานคร กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก เครือข่ายองค์กรทำงานเพื่อเด็กเร่ร่อน และศูนย์วิจัยและพัฒนาด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อวิจัยพัฒนาแนวทางการช่วยเหลือเด็กกลุ่มเปราะบาง บนวิถีชีวิตถนน ที่มีแนวโน้มจะหลุดออกนอกระบบการศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่อย่างยั่งยืน ใน 3 ด้านสำคัญ คือ 1.การจัดทำระบบฐานข้อมูลสารสนเทศเพื่อบูรณาการความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชนในอนาคต 2.สนับสนุนการทำงานให้กับครูศูนย์สร้างโอกาสเด็ก กทม. รวมถึงครูอาสา ครูนอกระบบเพื่อติดตามช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้เป็นรายกรณีอย่างเป็นระบบ (Case Management System) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากภาคส่วนต่างๆ และ 3.การศึกษาวิจัยแนวทางการวางแผนการศึกษาของเด็กเยาวชนกลุ่มนี้ที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความถนัดและศักยภาพเป็นรายบุคคล เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาชีพและครอบครัวในอนาคต รวมทั้งเสริมศักยภาพให้กับเด็ก รวมถึงครอบครัวให้มีกิจกรรมเสริมรายได้หรืออาชีพทางเลือกที่เหมาะสมตามวัย ไม่มีความเสี่ยง ช่วยลดอุปสรรคในการไปโรงเรียนจากความยากจน แต่สามารถสร้างรายได้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนได้
...

รองผู้จัดการ กสศ. กล่าวอีกว่า เบื้องต้นจะนำร่องเก็บข้อมูลกลุ่มเด็กที่ทำงานบนท้องถนนในพื้นที่กรุงเทพมหานครก่อน โดยเฉพาะรัศมี 10 กิโลเมตรรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยทำงานวิจัยด้วยความเข้าใจเข้าไปฟังเสียงจากเด็กๆ เยาวชน ครอบครัวในพื้นที่โดยตรงว่า ต้องการหรือขาดสิ่งใด เด็กและเยาวชนเหล่านี้อยากเรียนหนังสือ แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องฐานะของครอบครัว จึงจำเป็นต้องหารายได้เสริมในช่วงวันหยุด หรือหลังเลิกเรียน เช่น ขายดอกไม้ พวงมาลัยตามสี่แยกไฟแดง หรือบางส่วนเร่ร่อนขอเงินตามถนนหนทางต่างๆ สำหรับทางออกของปัญหาเด็กกลุ่มนี้ไม่สามารถแก้โดยลำพังเพียงเด็กเท่านั้น แต่ต้องเข้าไปดูปัญหาของของครอบครัว ชุมชน เพื่อหาทางออกในระยะยาว เพื่อให้เด็กกลุ่มนี้ผ่านพ้นจากกับดักความยากจน ไม่ต้องกลับมาทำอาชีพที่มีความเสี่ยงอีก พวกเรามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กเยาวชนเหล่านี้ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยในอนาคตได้ หากได้โอกาสทางการศึกษาที่เสมอภาคและสอดคล้องกับศักยภาพและความถนัดเป็นรายบุคคล กสศ. ต้องขอบคุณทุกเครือข่ายที่มาร่วมกิจกรรมวันนี้ รวมทั้งทางสำนักงบประมาณที่มาลงพื้นที่เก็บข้อมูลในการทำงานร่วมกับ กสศ.ต่อไป
ด้านนางสาวทองพูล บัวศรี ผู้จัดการโครงการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก กล่าวว่า มูลนิธิสร้างสรรค์เด็กลงพื้นที่เก็บข้อมูลเด็กกลุ่มเปราะบางบนวิถีชีวิตถนน เช่น ขายมาลัย ดอกจำปี ตามสี่แยกหรือขอทานบนถนนสายต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 81 คน เป็นเวลากว่า 4 ปีพบว่าเด็กๆ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ครอบครัวมีฐานะยากจน มีภาระหนี้สิน การศึกษาไม่สูง และประกอบอาชีพที่ไม่แน่นอน เด็กบางคนขายพวงมาลัยริมถนน บางคนก็ไปขอทานบริเวณซอยนานา การแก้ปัญหาเด็กกลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องตามติดไปถึงชุมชนเข้าไปทำความรู้จักรายครอบครัวอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความไว้ใจ ทำให้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสปัญหาแต่ละครอบครัวซึ่งแตกต่างกัน และทั่วประเทศมีเด็กเร่ร่อนประมาณ 30,000 คน กระจายอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวใหญ่ บางครอบครัวพ่อแม่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ จึงมีปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์การเรียน ดังนั้นกิจกรรมเสริมความพร้อมส่งน้องไปโรงเรียนที่จัดขึ้น จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการกลับไปสู่โรงเรียนของเด็กกลุ่มนี้

ด้าน ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า โครงการเสริมความพร้อมส่งน้องไปโรงเรียน ถือเป็นโครงการที่ดี เด็กกลุ่มนี้คือเด็กเปราะบางบนวิถีชีวิตถนน ใช้ชีวิตอยู่กับถนน มีความแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง ก่อนเริ่มกิจกรรมเราพบภาวะ ‘หม่น’ หรือ ‘หม่นหมอง’ ที่แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าไม่ร่าเริงเหมือนเด็กปกติทั่วไป เนื่องจากต้องทำงานหนัก รวมถึงปัญหารอบตัวเกินกว่าชีวิตเด็กคนหนึ่งจะรับได้ หลังเลิกกิจกรรมเราเห็นแววตาของเด็กกลับมาสดใสเหมือนเดิม ในความจริงเด็กทุกคนควรได้รับการเอาใจใส่จากทุกคนทั้งผู้ปกครอง ชุมชน และ กสศ. โครงการนี้คือการส่งเด็กนักเรียนให้มีอนาคตมีแรงบันดาลใจ แล้วช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในระยะยาว
...
"การดูแลเด็กไม่ใช่การเอาเงินให้เป็นครั้งคราว หรือตามแค่ได้ข้อมูล แต่การ empower เด็กคือเราต้องจัดกิจกรรมให้เด็กรู้ว่าเป้าหมายชีวิตต้องการอะไร ปัญหาอุปสรรค ข้อจำกัดอยู่ตรงไหน ทาง กสศ.พยายามเชื่อมโยงกับเครือข่ายที่ทำงานอยู่แล้วประคองชีวิตให้ดำเนินไปตามที่ควรจะเป็น จึงเป็นเรื่ององค์ความรู้ที่กำลังหาคำตอบและทางออกในชีวิตเด็กกลุ่มนี้ให้เกิดความยั่งยืน ไม่ใช่แค่การจัดงานเพียงครั้งคราว อย่างชีวิตเด็ก เปราะบางบนวิถีชีวิตถนนกว่า 81 ชีวิตที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ กลายเป็นโจทย์ของประเทศไปแล้ว" ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว

นายกุลธร เลิศสุริยะกุล ประธานเครือข่ายองค์กรทำงานเพื่อเด็กเร่ร่อน กล่าวว่า คนที่เข้าใจปัญหาเด็กเร่ร่อนที่สุด คือ ครูอาสา กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศประมาณ 180-200 คน อยู่ในเครือข่ายทำงานเพื่อเด็กเร่ร่อน ดังนั้นเราต้องใช้กลไกครูเหล่านี้เข้ามาช่วยและถือเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหา ครูเหล่านี้จะรู้จักเด็กทุกคน จึงมีความจำเป็นต้องดึงกลุ่มครูเหล่านี้เข้ามาร่วมทำงานกับเรา เพื่อช่วยหาทางออกต่อยอดพัฒนาร่วมกับเครือข่ายต่างๆ ร่วมกันในการแก้ปัญหาเด็กเร่ร่อน ขณะนี้เราพบว่าวิธีการและวิถีชีวิตของเด็กเหล่านี้เปลี่ยนไปอย่างมาก อาจทำให้ครูขาดการพัฒนาการติดตาม ส่งผลทำให้การติดตามค้นหาเด็กลำบากขึ้น จึงควรมีการอบรมจัดเวทีให้กับครูเหล่านี้นำไปต่อยอดในการช่วยเหลือแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป.
...