อุทธรณ์ตัดสินลูกสาวคุก 40 ปี ยกริบเงิน 62 ล.
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยืนจำคุก “จุฑามาศ” อดีตผู้ว่าการ ททท. รับสินบนข้ามชาตินักธุรกิจหนังชาวอเมริกัน 50 ปี ส่วนลูกสาวพิพากษาแก้จากโดน 11 คดีเหลือ 10 คดี โทษจำคุกลดจาก 44 ปีเหลือ 40 ปี และให้ยกคำสั่งริบเงินทำผิดที่อยู่ในธนาคารต่างประเทศกว่า 62 ล้านบาท ชี้อัยการโจทก์ไม่ได้ขอให้ริบเงินของกลางเป็นของแผ่นดินท้ายฟ้อง อัยการขอตั้งหลัก พิจารณาว่าจะฎีกาหรือไม่
ที่ห้องพิจารณา 8 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 พ.ค. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีอัยการคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อายุ 72 ปี อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ อายุ 45 ปีบุตรสาว เป็นจำเลยที่ 1-2 ความผิดฐานเป็นพนักงานเรียกรับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อการกระทำอย่างใดในหน้าที่ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ฐานเป็นพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ กระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายไม่ให้แข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้อแก่ ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใด ให้เป็นผู้มีสิทธิตามสัญญาแก่หน่วยของรัฐ และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหน่วยงานของรัฐ 2502 มาตรา 6 และ 11 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) 2542 มาตรา 12 จากกรณีรับเงินตอบแทนจากสามีภรรยาชาวอเมริกัน นักธุรกิจภาพยนตร์ เพื่อให้ได้สิทธิจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2002-2007 (2545-2550) มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 ส.ค.58 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
...
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.60 ให้จำคุกนางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 รวม 11 กระทง กระทงละ 6 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 66 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงตามกฎหมายแล้วให้จำคุกสูงสุดเป็นเวลา 50 ปี และจำคุก น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 รวม 11 กระทง กระทงละ 4 ปี จำคุกทั้งสิ้น 44 ปี ขณะที่ ศาลมีคำสั่งให้ริบเงินกระทำผิด 1,822,494 เหรียญสหรัฐฯและดอกผล คิดเป็นเงินไทย 62,724,776 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยเงินนั้นเป็นทรัพย์ที่ฝากอยู่ในธนาคารต่างประเทศ ขณะที่จำเลยที่ 1-2 ถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลางเนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัว วันนี้ศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาจากเรือนจำ ขณะมาถึงห้องพิจารณาคดีทั้งสองยกมือทักทายญาติสนิทที่มาให้กำลังใจ
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แผนกคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบใจความว่า พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้ว มีคำแปลคำให้การของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ (FBI) สหรัฐอเมริกา ที่สืบสวนสอบสวนดำเนินคดีสามีภรรยาตระกูลกรีน ได้มาตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 เมื่อนำมาพิจารณาประกอบพยานหลักฐานอื่นตามหลักการพิจารณาคดีอาญาแล้ว รับฟังได้ว่า นางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 สมคบโดยให้คำแนะนำกับสามีภรรยาตระกูลกรีน ให้มาร่วมจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติลักษณะการฮั้วประมูล ตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา
ส่วน น.ส.จิตติโสภา บุตรสาว จำเลยที่ 2 การฟ้องของอัยการโจทก์ไม่ได้ระบุและนำสืบชัดเจนในการร่วมสนับสนุนกระทำผิดต่อการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปี 2550 ส่วนจำเลยที่ 2 อ้างว่าเงินที่โอนเข้าบัญชีในต่างประเทศเป็นเงินที่ได้จากการเป็นที่ปรึกษานายเจอรัลด์ กรีน ช่วงปี 2545 นั้น ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากปรากฏว่าเป็นการโอนเงินหลังจากนายเจอรัลด์ทำสัญญาการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติแล้ว 2 สัปดาห์ และไม่เคยปรากฏว่าเมื่อจำเลยจบการศึกษาปริญญาตรีจนกระทั่งศึกษาต่อปริญญาโท จำเลยที่ 2 ประกอบธุรกิจหรือมีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับธุรกิจดังกล่าวมาก่อน ถึงขั้นจะได้รับค่าปรึกษาจากนายเจอรัลด์ กรีน คิดเป็นเงินไทยกว่า 60 ล้านบาท อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ศาลอุทธรณ์ฯเห็นควรพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 รวม 10 กระทง กระทงละ 4 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 40 ปี ส่วนนางจุฑามาศ อดีตผู้ว่าการ ททท. จำเลยที่ 1 คงจำคุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น 11 กระทง กระทงละ 6 ปี จำคุกทั้งสิ้น 66 ปี แต่เมื่อรวมโทษตามกฎหมายแล้วให้จำคุกสูงสุดเป็นเวลา 50 ปี พร้อมให้ยกคำสั่งริบทรัพย์ของศาลชั้นต้น ที่ให้ริบเงินที่เป็นการกระทำผิดในบัญชีต่างประเทศกว่า 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯด้วย เนื่องจากเป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ เพราะคดีนี้อัยการโจทก์ไม่มีคำขอให้ริบของกลางหรือเงินใดๆไว้ท้ายฟ้อง และบทเฉพาะกาลตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ 2559 มาตรา 52 บัญญัติให้บรรดาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่ยื่นฟ้องไว้ก่อนวันที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวใช้บังคับ ให้บังคับตามกฎหมายซึ่งใช้อยู่ก่อน ดังนั้นคดีนี้จึงต้องใช้บทบัญญัติกฎหมายคดีอาญาสามัญ คำสั่งศาลชั้นต้นที่นำมาตรการริบทรัพย์สินในคดีทุจริตไม่ว่าโจทก์จะมีคำขอหรือไม่ตามมาตรา 31 (2) มาตรา 32 (2) และมาตรา 33 วรรคหนึ่ง มาใช้ เป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์
หลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวนางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 และ น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 กลับไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางทันที นายสุชาติ ชมกุล ทนายความจำเลย กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจำเลยจะยื่นฎีกาหรือไม่ เนื่องจากเราต้องรอคัดคำพิพากษาฉบับเต็ม และกลับไปปรึกษากับคณะทำงานทนายความคดีนี้ซึ่งมีหลายคน เพื่อช่วยกันตรวจดูคำพิพากษาอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนพนักงานอัยการที่รับมอบหมายมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ กล่าวเพียงว่า คดีนี้ยังสามารถใช้สิทธิ์ยื่นฎีกาได้ แต่ทั้งนี้คงต้องไปศึกษาข้อกฎหมายก่อนว่าหลักการฎีกาจะเป็นไปตามกฎหมายเก่าหรือกฎหมายใหม่ ระบบจะแตกต่างกัน
...