พบมี 2 รายเป็นตัวการใหญ่ ปส.จ่อแจ้งข้อหายาเสพติด

ขยายผลคดีทลายเครือข่ายลักลอบขายยาลดความอ้วน ตำรวจ บช.ปส.คลอดหมายเรียก “นพ.” และ “พญ.” 2 คน มาสอบปากคำ 19 มี.ค. ตั้งป้อมแจ้งข้อกล่าวหาฉกรรจ์ โทษสูงสุดจำคุก ถึง 20 ปี ปรับสูงสุด 2 ล้านบาท อย.แฉแหลก มี 9 คลินิกใน 6 จังหวัดเอี่ยวขนยาลดความอ้วนออกจากระบบมาขาย แฉมีแพทย์ร่วมขบวนการฉาว 7 คน 2 คน เข้าข่ายตัวการใหญ่ถึงขั้นยึดทรัพย์ เตรียมส่งข้อมูลให้แพทยสภาฟันจริยธรรมด้วย พร้อมออก 3 มาตรการคุมเข้มยาลดความอ้วนแล้ว

กรณีตำรวจ บช.ปส.จับมือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จับกุมเครือข่ายค้ายาลดความอ้วนยักษ์ใหญ่ ตรวจค้น 33 จุดทั่วประเทศ จับกุมผู้ต้องหา 2 คน คือ น.ส.วิไรรัตร อุดทอง อายุ 27 ปี ตัวการใหญ่ และนางกัญญนันทน์ ธัญธรเตชสิทธิ์ อายุ 32 ปี ข้อหาร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อ จิตและประสาทประเภท 2 (เฟนเตอร์มีน) ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 4 (ไดอะซีแพม, คลอราซีเพท) ไว้ในครอบครองเพื่อ ขายโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมของกลางยาลดความอ้วนหลายแสนเม็ด และอายัดทรัพย์เครือข่ายทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม รถยนต์ และเงินในบัญชีกว่า 43 ล้านบาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว

ความคืบหน้าจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 มี.ค. พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผบช.ปส.เผยว่า หลังจากเมื่อวันที่ 11 มี.ค. จับกุมผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แล้ว จากการขยายผลพบว่า มีแพทย์จำนวนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะนี้ตรวจพบและพิสูจน์ทราบแล้วว่าเป็นแพทย์ 2 คน จะเรียกมาสอบปากคำ วันที่ 19 มี.ค. ถ้าพบว่ามีความผิดจริงจะแจ้งข้อหาจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 และประเภท 4 มีอัตราโทษจำคุก 5 ถึง 20 ปี และข้อหาสมคบกันกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดปี 2534

...

“ขณะนี้จากการตรวจสอบตัวยาลดความอ้วนพบว่า สั่งมาจากต่างประเทศ และเป็นตัวยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตัวยาถูกสั่งจากตามคลินิกผ่านมาทาง อย. จากนั้น อย.จะนำไปส่งตามคลินิกที่สั่งยาไว้ แต่จากการสืบสวนพบว่า ยานั้นมีพ่อค้าคนกลางนำออกไปจำหน่ายในราคาสูงกว่าความเป็นจริง 5-10 เท่า เจ้าหน้าที่ อย.สังเกตเห็นว่า มีการเบิกจ่ายยาจำนวนมากและบ่อยผิดปกติ จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ บช.ปส.เข้าตรวจสอบ จนพบการกระทำความผิดจริง” พล.ต.ท.ชินภัทรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแพทย์ 2 คนที่จะเข้าพบพนักงานสอบสวน บช.ปส.คือ นพ.จอมพล มีศรี และ พญ.บัณฑิตรา นาใจคง ขณะนี้เลขาฯ ป.ป.ส.อนุมัติให้ดำเนินคดีข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน ตาม พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มีอัตราโทษเท่ากับตัวการ

ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการ อย. และ นพ.
สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. แถลงข่าวกรณี อย.ร่วมมือกับ บช.ปส.จับกุมลักลอบนำยาลดความอ้วนที่จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 คือ เฟนเตอร์มีน (Phentermine) และประเภท 4 คือ ไดอะซีแพม (Diazepam) เบื้องต้นพบว่ามีบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวข้องด้วย

นพ.ธเรศกล่าวว่า ตรวจสอบพบว่า มีการลักลอบนำยากลุ่มดังกล่าวออกจากคลินิกที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยาเหล่านี้ คลินิกเหล่านี้ทำผิดกฎหมาย ผิดตามระบบที่ อย.วางไว้ ขายทั้งโดยตรง ออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก ไอจี และพบว่าซื้อยาในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 และประเภท 4 แบบผิดสังเกต จึงสอบสวนตั้งแต่ปลายปี 2561 พบว่า แพทย์มาทำเรื่องขออนุญาตซื้อยาทั้ง 2 กลุ่มกับ อย. เนื่องจากยาเหล่านี้ต้องควบคุมตามกฎหมาย อย.จำหน่ายได้เพียงแห่งเดียว และต้องติดตามรายงานกับแพทย์ที่มาซื้อเพื่อจำหน่ายในการรักษาโรค แต่พบว่าซื้อจำนวนมากและทำแบบกระบวนการ ทำเป็นเครือข่ายจนในที่สุดร่วมกับตำรวจบุกจับ

“เราพบการกระทำความผิดทั้งสิ้น 33 พื้นที่ มีทั้งคลินิก บ้าน สถานที่ประกอบการของนายทุน มีคลินิกที่เกี่ยวข้อง 9 แห่ง เป็นแพทย์ 7 คน มี 2 คนเกี่ยวข้องโดยตรง เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกแล้ว น่าจะเป็นตัวการสำคัญและเข้าข่ายที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดทรัพย์ ส่วนแพทย์อีก 5 คนจะถูกหมายเรียกเช่นกันเพราะมีส่วนเกี่ยวข้อง เบื้องต้นประสานแพทยสภาแล้วว่า หากได้ข้อมูลเรียบร้อยจะสรุปรายชื่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมส่งให้ดำเนินการด้านจริยธรรมต่อไป ส่วนเรื่องของคลินิกก็เช่นกัน เมื่อได้ข้อสรุปจะส่งไปยังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) หากเป็นต่างจังหวัดจะแจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และระงับการจำหน่ายยากลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาททั้งหมดกับคลินิกทั้ง 9 แห่งด้วย” นพ.ธเรศกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า คลินิกทั้ง 9 แห่งอยู่ในพื้นที่ ไหน นพ.ธเรศกล่าวว่า สำหรับคลินิกเหล่านี้เป็นคลินิกเวชกรรม น่าจะเน้นเรื่องความสวยความงามด้วย กระจายอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จ.หนองบัวลำภู 1 แห่ง จ.อุบลราชธานี 1 แห่ง จ.อุดรธานี 1 แห่ง จ.นครราชสีมา 2 แห่ง จ.พิษณุโลก 2 แห่ง และ จ.ตาก 2 แห่ง แพทย์ทั้ง 2 คนเป็นทั้งผู้ได้รับอนุญาตเปิดคลินิกและเป็นผู้ดำเนินการด้วย น่าจะเป็นตัวการ

“ต้องย้ำว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตใช้ยากลุ่มนี้ ต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเข้มงวดเพราะโทษหนักมาก อย่างกรณีลักลอบใช้ยากลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จะรับโทษหนักจำคุก 4-20 ปี ปรับตั้งแต่ 400,000 -2,000,000 ล้านบาท ส่วนลักลอบใช้ยากลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 4 มีโทษจำคุก 2-10 ปี ปรับตั้งแต่ 200,000-1,000,000 บาท ที่สำคัญหากพบว่าเป็นตัวการอาจถูกยึดทรัพย์ด้วย ยิ่งเป็นแพทย์จะถูกเรื่องจริยธรรมด้วย ที่ผ่านมา อย.อนุญาตใช้ยาไปทั้งสิ้น 526 แห่ง แบ่งเป็น รพ.รัฐ 4 แห่ง รพ.เอกชน 38 แห่ง และคลินิก 484 แห่ง” นพ.ธเรศกล่าว

...

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะปรับกฎระเบียบคุมเข้มมากขึ้นหรือไม่ นพ.ธเรศกล่าวว่า กำลังหารือว่าจะพัฒนาระบบและติดตามผู้ใช้ยามากขึ้น 1.ให้แพทย์ที่ได้รับอนุญาตใช้ยากลุ่มเหล่านี้ต้องติดตามผู้ป่วยที่รับยาไป โดยขอเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เนื่องจากในอดีตเคยพบว่า ใช้ชื่อผู้ที่เสียชีวิตซื้อ 2.แพทย์ต้องให้คำแนะนำการใช้ยาว่า มีผลข้างเคียงอย่างไร เพื่อให้ผู้ป่วยพิจารณาว่าจะใช้หรือไม่ และ 3.วางระบบออนไลน์กรอกข้อมูลแทนการกรอกในเอกสารกระดาษ เพราะอาจแก้ไขได้ ทั้งหมดกำลังอยู่ระหว่างปรับระบบและทำให้เข้มงวดมากขึ้น

ด้าน นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ กล่าวว่า ยาลดน้ำหนัก หรือยาลดความอ้วนเป็นกลุ่มอนุพันธ์ของแอมเฟตามีน หรือยาบ้า ผลข้างเคียงสำคัญคือ ปวดหัว คลื่นไส้ มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูงได้ ต้องใช้อย่างระมัดระวังและเหมาะสม คือมีโรคอ้วนรักษาควบคุมอย่างอื่นไม่ได้แล้ว และต้องใช้ในเวลาเหมาะสม สมัยก่อนมีไซบูทรามีนแต่ผลข้างเคียงสูงจึงถอนออกไปจากไทยแล้ว ปัจจุบันมีกลุ่มเฟนเตอร์มีน ตามกฎหมาย อย.เป็นผู้จำหน่ายเพียงผู้เดียว นำเข้าและจำหน่ายตามกฎหมาย การให้ อย.จัดจำหน่ายเพื่อควบคุม และติดตามทะเบียนการจำหน่ายให้ผู้ป่วย อย.กำหนดเพดานไม่เกินเดือนละ 5,000 เม็ดต่อคลินิก ยานี้ควรใช้ระยะสั้นไม่เกิน 4-6 สัปดาห์ มากสุด 12 สัปดาห์ ภายใต้การควบคุมของแพทย์ ยาตัวนี้รักษาโรคอ้วนที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ แต่ต้องใช้ด้วยแพทย์เท่านั้น

ส่วน ทพ.อาคม ประดิษฐ์สุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ขณะนี้สบส. ประสานขอข้อมูลคลินิกที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้แล้ว เบื้องต้นอาจเข้าข่ายดำเนินการผิดประเภท ผู้ดำเนินการไม่ควบคุมดูแล ผู้ประกอบวิชาชีพปล่อยให้ดำเนินการผิด เช่น เปิดเพื่อรักษาคนไข้แต่ปล่อยให้ขายยาอันตรายผ่านอินเตอร์เน็ตโดยไม่ตรวจร่างกาย หรือปล่อยให้มีผู้นำยาจากคลินิกออกมาขายมีความผิดด้วย การจะสรุปความผิดต้องลงไปตรวจสอบในสถานที่ด้วย สบส.จะเร่งดำเนินการตรวจสอบให้เร็วที่สุด

...