ค่าทำศพยุคนี้ แพงไปมั้ย!! สำหรับคำถามเดิมๆ ไม่ใช่ครั้งแรกของคนในสังคมออกมาบ่น เพราะหากไล่เรียงค่าใช้จ่ายจิปาถะที่เจ้าภาพงานศพต้องจ่ายให้กับบางวัด คงต้องยอมรับว่ามันหนักหนาจริงๆ แต่ทุกอย่างน่าจะขึ้นอยู่กับการเลือกรูปแบบการจัดงานศพ จะแบบอลังการงานสร้าง หรือแบบสมถะ

อย่างกรณีหนุ่มโพสต์บนโลกโซเชียล ออกมาโวยวายค่าบริการในการจัดงานศพวัดแห่งหนึ่งในตัวเมือง จ.ขอนแก่น ติดป้ายกลางศาลาภายในวัด แสดงราคาค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการฌาปนกิจศพ 1.ค่าผู้ดูแลศพ 1,000 บาท 2.ค่าบำรุงเมรุ 500 บาท 3.ค่าบำรุงสถานที่ น้ำ-ไฟฟ้า 500 บาท 4.ค่าบำรุงห้องเย็นคืนละ 500 บาท 5.เจ้าพนักงาน 2 คน 400 บาท 6.ค่าคนล้างโลงเย็น 200 บาท 7.ค่าคนนำขยะไปทิ้ง (เช่นพวงหรีด เป็นต้น) 200 บาท 8.ขยะของแต่ละวันให้เป็นหน้าที่เจ้าภาพนำไปทิ้งเอง

จากนั้นได้มีผู้แสดงความเห็นต่างๆ นานา ใน 2 ทาง ทั้งเรื่องราคาแพงเกินไปหรือไม่ ถ้าคนไม่มีเงินจะทำอย่างไร และอีกส่วนเห็นด้วยกับทางวัดที่มีการติดป้ายบอกราคาค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างชัดเจน และเป็นเงินที่ไม่แพงมากจนเกินไป

แม้ล่าสุดทางวัดได้ตัดสินใจปลดป้ายดังกล่าวออก เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย โดยค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจัดงานศพให้แล้วแต่จิตศรัทธา ซึ่งทางวัดจะไม่มีการกำหนดค่าใช้จ่ายใดๆ อีกต่อไป ขออย่างเดียวเมื่องานเสร็จ ควรเก็บกวาดสถานที่จัดงานให้ดูสะอาดเหมือนเดิม และอย่าปล่อยให้รกเต็มไปด้วยขยะ

หากย้อนไปในอดีตพบว่า คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดนิยมตั้งศพที่บ้าน และปัจจุบันยังคงมีบ้างเพื่อความประหยัด หากเพื่อความสะดวกของเจ้าภาพและผู้มาร่วมงาน จึงจัดงานศพในวัด โดยการจับจองศาลาทำพิธีสวดอภิธรรม เสียค่าใช้จ่ายใช้สถานที่ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาทิ ค่าบำรุงเมรุ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก ค่าทำบุญใส่ซองถวายพระ ค่าโลงศพขึ้นอยู่กับประเภทของไม้หรือวัสดุ ค่าดอกไม้ประดับหน้าโลงศพและเมรุให้สวยงาม ค่าน้ำมันเผาศพ ค่าอาหาร ของว่าง และค่าเครื่องดื่มเลี้ยงแขก

...

แน่นอนวัดดังๆ ในเมืองกรุง จะมีราคาสูงกว่าวัดต่างจังหวัด เริ่มต้นที่หลักหมื่นจนถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจตามความประสงค์และเงินในกระเป๋าของเจ้าภาพ และจำนวนวันในการจัดงานศพ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก เช่น บริการถ่ายภาพและวิดีโอ บริการลอยอังคาร จอมอนิเตอร์ และของชำร่วย เป็นต้น

ไม่เท่านั้นยังมีให้เลือกอีก เพราะปัจจุบันยังมีผู้ให้บริการจัดงานศพแบบครบวงจร มีแพ็กเกจให้เลือกหลายราคา ตั้งแต่ขั้นตอนแรกหลังการตาย ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ในการทำพิธีลอยอังคาร ช่วยอำนวยความสะดวกและแบ่งเบาภาระในการจัดงานศพ ซึ่งได้รับความนิยมในสังคมยุคใหม่

หากผู้ใดไม่อยากเป็นภาระให้คนในครอบครัวหรือญาติ สามารถบริจาคร่างกายอุทิศให้โรงพยาบาล เพื่อเก็บร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ ให้นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายได้ศึกษา เป็นประโยชน์แก่สังคมและได้กุศล ซึ่งจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในการจัดพิธีศพ โดยระยะเวลาตั้งแต่เริ่มรับร่าง จนถึงพระราชทานเพลิงศพ ใช้เวลา 2-3 ปี และเมื่อนักศึกษาแพทย์ได้ใช้ประโยชน์จากร่างของอาจารย์ใหญ่ครบตามกำหนด จะมีการจัดสวดอภิธรรม พิธีพระราชทานเพลิงศพให้แก่อาจารย์ใหญ่อย่างสมเกียรติ ก่อนนำอัฐิไปลอยอังคารต่อไป.