"ทำงานเพื่อประชาชนมาทั้งชีวิตแล้ว อยากจะตอบแทนพระคุณแม่บ้าง ตอนนี้ท่านอายุ 89 ปี บ้านผมอยู่กรุงเทพฯ ส่วนตัวผมเองรับราชการอยู่ภาคอีสาน นานๆ จะได้กลับบ้านที ท่านก็อายุเยอะ ไม่รู้จะอยู่กับผมได้อีกนานแค่ไหน ส่วนตัวผมเองคิดว่าทำเพื่อประเทศชาติมาแบบไม่เคยขาดตกบกพร่องแล้ว และเหลืออายุราชการอีก 2 ปี ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงแต่งตั้งโยกย้าย จึงตัดสินใจลาออกจากราชการตำรวจ โดยมีจุดประสงค์เดียวคือไปดูแลแม่"

นี่เป็นคำพูดของ พ.ต.อ.จเร สุปิรยะ ผกก.สส.ภ.จว.สุรินทร์ ที่ตัดสินใจลาออกจากข้าราชการตำรวจเพื่อกลับมาดูแลแม่แท้ๆ ที่แก่ชราและกำลังป่วยหนัก เนื่องจากทั้งชีวิตของ พ.ต.อ.จเร ที่ผ่านมาได้ทุ่มเทให้กับงานในหน้าที่มาตลอด จนวันนี้รู้สึกว่าต้องทำหน้าที่ลูกให้แม่ในบั้นปลายชีวิตบ้างแล้ว

"ต้องยอมรับว่างานในหน้าที่ตำรวจมันเยอะมากจนไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้ เมื่อเราเลือกที่จะทำแล้ว เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด และยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหา หรือไม่สบายใจเรื่องงาน เนื่องจากทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายก็ทำเต็มที่มาโดยตลอด ส่วนแม่คือผู้มีพระคุณ ก่อนหน้านี้จะหาเวลากลับบ้าน 2 เดือน 1 ครั้ง กลัวเหลือเกินว่าแม่จะจำหน้าผมไม่ได้ ก็ซื้อจอทีวีใหญ่ๆให้แม่ เอาไว้ต่อเชื่อมกับโทรศัพท์เพื่อคุยกัน แม่จะได้เห็นหน้าผมชัดๆ และไม่ลืมผมไปเสียก่อน"

...

พ.ต.อ.จเร บอกเราด้วยว่า ที่ผ่านมามีพี่ชายคอยดูแลแม่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนลงไปดูแลตอบแทนพระคุณเอง เมื่อเหลือเวลาอยู่ในราชการอีก 2 ปี คิดว่าตนเองมาถึงจุดสูงสุดแล้ว จึงขอลาออกไปดูแลแม่ที่กรุงเทพฯ ดีกว่า

"เมื่อ 2 ปีก่อน แม่ผมเคยล้มในบ้าน ศีรษะแตก สะโพกหัก และนอนเจ็บอยู่นาน ไม่มีคนมาเห็น ก่อนจะต้องหามเข้าโรงพยาบาลด่วน รู้สึกเสียใจมาก ถ้าแม่เป็นอะไรไปผมคงรู้สึกผิดทั้งชีวิต และเมื่อย้อนไปปี 2536 แม่ผมก็เคยถูกรถชนขาหัก ผมก็รับแม่มาดูแล ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ผมจะทำงานอย่างเต็มที่ แต่ใจไม่เคยลดละจากความเป็นห่วงแม่ได้เลย การตัดสินใจลาออกครั้งนี้ จึงคิดมาดีแล้ว ถึงแม้ว่าในทีแรกลูกน้องจะตกใจ โทรมาถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งก็อธิบายไปตรงๆ ว่า ผมโอเคกับการเป็นตำรวจมากๆ  ไม่ได้ออกเพราะไม่สบายใจเรื่องใดในอาชีพ แค่อยากมาดูแลแม่ในบั้นปลายของชีวิตที่เหลืออยู่เท่านั้น" พ.ต.อ.จเร สุปิรยะ ผกก.สส.ภ.จว.สุรินทร์ เป็นนักเรียน นรต.รุ่น 37 กล่าวทิ้งท้าย.