กรณีของฐิติชญา สุภารัตน์ แม่ค้ารถเข็นขายผลไม้ ที่หน้าโรงพยาบาลเปาโลฯ โชคชัย 4 ถูกรถเทศกิจหลายคัน พร้อมเจ้าหน้าที่เทศกิจประมาณ 10 กว่าคน บุกจู่โจมเข้ารวบทั้งตัวและรถเข็น จนเจ้าตัวหัวร้อนถึงกับระเบิดอารมณ์ใช้ของแข็งทุบกระจกรถเข็นผลไม้ของตนพังยับ
หากยังพอจะจำกันได้...หลังแม่ค้าผลไม้รายนี้กลายเป็นข่าวดังเพียงแค่ข้ามคืนจากการออกคลิปโชว์ตามสื่อต่างๆ หัวหน้าเทศกิจชุดที่เข้าจับกุมชี้แจงว่า
เห็นแม่ค้าขายผลไม้รายนี้จอดรถเข็นขายอยู่ริมถนน ซึ่งเป็นเขตห้ามขาย และมีแผงกั้นพร้อมกับป้ายติดประกาศ “ห้ามขาย” แต่ก็ยังฝ่าฝืน เจ้าหน้าที่จึงต้องเข้าไปจัดการตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535
ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดปรุงอาหารขาย หรือจำหน่ายสินค้าบนถนน หรือในสถานที่สาธารณะ หากฝ่าฝืนมีโทษเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน ไม่เกิน 5,000 บาท
คำถามจึงมีว่า ณ วันนี้ภายใต้การบริหารงานโค้งสุดท้ายของรัฐบาล คสช. ที่ถูกมองว่ามีการจัดระเบียบหลายอย่างที่เคยขวางหูขวางตามาช้านานให้เข้าที่เข้าทาง...
แต่เอาเข้าจริงแล้ว...สิ่งที่ถูกเรียกว่า “ค่าคุ้มครอง” “ส่วยเทศกิจ” หรือ “ค่าดูแล” ที่เราๆท่านๆเคยได้ยินผ่านหูผ่านตามามากน้อยนั้น ยังคงมีอยู่อีกหรือไม่?
และถ้ามีใคร? คือ “ไอ้โม่ง” ผู้รับผลประโยชน์!!!
ข้อมูลนับต่อจากนี้ “ทีมข่าวสกู๊ปหน้า 1” ลงพื้นที่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อที่จะสัมภาษณ์เก็บข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ทำมาค้าขายอยู่ในย่านธุรกิจ ผู้คนคับคั่ง โดยมีกติกาว่า...ขอให้ข้อมูลที่เป็นจริง แต่จะนำเสนอโดยไม่เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม หรือพื้นที่ที่พวกเขาทำมาหากินเด็ดขาด เพื่อป้องกันทุกๆความเสี่ยงที่จะตามมา
...
“อย่าว่าแต่พวกหาบเร่ แผงลอย หรือรถเข็น ที่ต้องจ่ายสิ่งที่เรียกกันว่าส่วยให้เทศกิจเดือนละ 1,000-3,000 บาทเลย ขนาดแผงค้าที่เช่าพื้นที่ขายของอยู่บนหน้าตึกแถวอย่างถูกต้อง ถ้าตั้งแผงยื่นออกไปบนทางเท้าหรือฟุตปาทแค่คืบเดียว ถึงจะไม่เกะกะใครก็ยังต้องจ่ายสิ่งที่เรียกว่า ค่าดูแล ให้เทศกิจเป็นรายเดือน”
ผู้ให้ข้อมูลซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ค้าแผงลอยริมทางเท้าในซอยดังแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯชั้นใน แฉ
เธอว่า ถ้าผู้ค้าคนใดหัวแข็ง หัวหมอ หรือไม่ยอมจ่าย “ค่าดูแล” ให้ ผลที่ตามมาก็คือ มักจะถูกก่อกวนในแบบต่างๆจนไม่เป็นอันต้องทำมาหากินอย่างเป็นสุข
เทียบกับพวกรถเข็นที่ขายผลไม้ ข้าวโพดปิ้ง พวงมาลัย หรือแผงขายลอตเตอรี่ ที่ตั้งรถ หรือตั้งแผงยื่นรุกล้ำออกไปบนทางเท้า
สักครึ่งเมตร ซึ่งยอมจ่าย “ส่วย” ให้แต่โดยดี พวกเทศกิจมักจะทำเป็นมองไม่เห็น
“ไม่ต้องดูอะไรมาก วณิพก หรือคนตาบอดที่มานั่งร้องเพลง ตั้งกล่องรับเงินบริจาคตามทางขึ้น-ลงบีทีเอส หรือป้ายรถเมล์ ที่มีผู้คนพลุกพล่าน กีดขวางทางเดินกันอย่างเห็นๆ ถ้าจ่ายส่วยให้เทศกิจ เรื่องก็จบ สามารถนั่งร้องเพลงบนทางเท้าจากเช้าถึงบ่ายได้โดยไม่มีใครรังควาน”
แหล่งข่าวผู้นี้ยังบอกอีกว่า มาเฟียรีดไถในเครื่องแบบไม่ได้มีแต่เทศกิจเท่านั้น บางสำนักงานเขตระดับบริหาร อย่างผู้อำนวยการเขต หรือผู้ช่วย ผอ.เขต เป็นคนลงมาชงลูกและรับส่วยด้วยตัวเองก็มี
“บางเขตใครจะตั้งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างตรงริมถนนติดกับขอบฟุตปาท ต้องจ่ายค่าดูแลให้ผู้บริหารเขต ซึ่งเรียกแบบรู้กันย่อๆว่า ท่านผู้ช่วย เดือนละ 12,000 บาท แค่นั้นไม่พอ ยังต้องจ่ายให้ สน.เจ้าของท้องที่นั้นอีก เดือนละ 8,000 บาท เป็นอย่างต่ำ”
“ยังไม่รวมรายจ่ายจรที่แฝงมาในรูปของเงินเรี่ยไรเป็นครั้งคราวตามเทศกาล เช่น ช่วงปีใหม่ หรือสงกรานต์ บางสำนักงานเขต ผู้ค้าหาบเร่ แผงลอย ต้องร่วมลงขันรวบรวมเงินไปส่งให้ท่านผู้ช่วยอีกหลายหมื่นบาท
...ถ้าหวังจะบากหน้าไปพึ่งหรือร้องเรียนกับหน่วยทหารตามที่ คสช.บอกน่ะรึ ฝันไปเถอะ บางทีทั้งทหาร ตำรวจ กับมาเฟียพวกนี้ รวมหัวกันกินก๊วนเดียวกันหมด”
แหล่งข่าวบอกว่า เหตุการณ์แบบนี้มีมาทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ยุคใครยุคมัน ต่างกันที่นโยบายและรายละเอียด ผู้ว่าฯกทม.บางยุคเปิดไฟเขียวให้ผู้ค้าบางย่านตั้งขายบนทางเท้าตอนกลางคืนได้
บางยุคสั่งให้หยุดขายทุกวันจันทร์ บางยุคให้หยุดขายทุกวันพุธ บางยุคให้ตั้งวางขายบนทางเท้าริมถนนใหญ่ได้ ซึ่งเป็นยุคที่เทศกิจจะกินกันพุงกาง เรียกเก็บ “ค่าแป๊ะเจี๊ยะ” จากผู้ค้าแผงละ 30,000- 50,000 บาทก่อนยังไม่พอ ต้องจ่ายรายเดือนให้อีกเดือนละ 1,000 บาท
มาถึงยุคนี้ ห้ามตั้งวางขายบนทางเท้าริมถนนใหญ่ในทุกกรณี ยกเว้น ให้ตั้งขายบนทางเท้าหรือฟุตปาทริมถนนในซอยได้บางซอย แค่เฉพาะช่วง 09.00-18.00 น.
แต่ในสถานการณ์จริง แหล่งข่าวบอกว่า ลับหลังผู้ใหญ่นอกจากจะมีการรอดหู รอดตา แผงค้าส่วนใหญ่แทบจะไม่มีใครมาเปิดตั้งแผงขายกันตอน 9 โมงเช้า และปิดตอน 6 โมงเย็นได้ตรงเป๊ะตามเวลา
มีแต่ต้องมาเปิดตั้งแผงก่อนเวลากันทั้งนั้น เพื่อจะได้ไม่ไปเกะกะกีดขวางทางเดินตอนที่คนบนทางเท้าเริ่มพลุกพล่าน ช่วง 8-9 โมง อีกอย่างจะได้ขายให้ลูกค้าที่ซื้อของกินของใช้รอบเช้าก่อนจะเข้าที่ทำงาน
“การที่ส่วนใหญ่ต้องตั้งแผงขายกันก่อน 9 โมงเช้า และเก็บแผงเลย 6 โมงเย็นไปแล้ว หากยังมีลูกค้าติดพัน ทำให้ผู้ค้าส่วนใหญ่ แทบทุกเขตต้องจ่ายส่วยค่าปรับให้เทศกิจเป็นรายเดือน จะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับจำนวนแผงและทำเล แต่ขั้นต่ำจ่ายกันแผงละหลักพันบาทขึ้นไป”
แหล่งข่าวบอกว่า ถ้าเป็นผู้ค้าประเภทของกิน เช่น ขายผลไม้ ผัดไทย ก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกงยังต้องมีการไปตรวจโรคปีละครั้ง โดยใช้ใบรับรองแพทย์ที่ออกโดยโรงพยาบาลของรัฐ พร้อมรูปถ่ายไปยื่นประกอบเพื่อใช้ทำบัตรผู้ค้าที่สำนักงานเขต เสียค่าบัตรประมาณ 200 กว่าบาท
...
สำคัญว่า...บัตรนี้จะมีอายุปีต่อปี ต้องไปต่อทุกปี
ถ้าปีไหนใครเผลอขาดต่ออายุแค่วันเดียว พวกเทศกิจจะรีบหาคนอื่นมาสวมสิทธิ์ขายแทนทันที ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่รู้กันว่า มักจะเอาพวกเมีย แม่ยาย หรือไม่ก็ญาติของคนที่เป็นเทศกิจนั่นแหละ มาสวมสิทธิ์ขายแทน
สรุปแล้วต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ในหลายเขตท้องที่ของ กทม. ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงมีการเรียกเก็บ “ส่วย” ทั้งจากผู้ค้าหาบเร่ แผงลอย ซึ่งตั้งวางขายยื่นออกมาตามทางเท้าอย่างจงใจ รวมทั้งเรียกรับ “ค่าดูแล” จากผู้ค้าที่เช่าพื้นที่หน้าตึกแถวตามย่านต่างๆแทบทั้งนั้น
มีคนบอกว่า ผ่านพ้นมาแล้วกี่รัฐบาล หรือกี่ผู้ว่าฯ กทม. “ส่วยเทศกิจ” ก็ไม่มีวันจางหายไปจากมหานครแห่งนี้ แสงสว่างปลายอุโมงค์เดียวที่พอจะใช้เล่นงานเทศกิจเรียกรับส่วยได้ก็คือ ต้องช่วยกันเก็บหลักฐาน รูปถ่าย วิดีโอไว้ แล้วส่งไปแฉตามสื่อ หรือแจ้งไปยังศูนย์ดำรงธรรม.