คดียึดทำเนียบไม่รอลงอาญาส่งเข้าเรือนจำ
ศาลฎีกาพิพากษาคดีพันธมิตรฯบุกทำเนียบปี 51 แล้ว ยืนตามศาลอุทธรณ์จำคุก 6 แกนนำ ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สนธิ ลิ้มทองกุล พิภพ ธงไชย สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ สมศักดิ์ โกศัยสุข และสุริยะใส กตะศิลา คนละ 8 เดือนไม่รอลงอาญา หลังฟังคำพิพากษาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวแกนนำพันธมิตรฯ 5 คนไปขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯทันที ส่วนนายสนธิถูกคุมตัวกลับไปขังที่เรือนจำกลางคลองเปรม ให้นับโทษคดีนี้ต่อจากคดีอื่นที่มีคำพิพากษาไปแล้ว
ศาลฎีกาสั่งจำคุกแกนนำพันธมิตรฯ เปิดเผยขึ้นที่ศาลอาญา เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ก.พ. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปี นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปี นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปี นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน หรือกลุ่มการเมืองสีเขียว และอดีตผู้ประสานงาน พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์กรณีบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 358, 362 และ 365 จำเลยมา ศาลครบ ส่วนนายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกคุมตัวมาจาก เรือนจำกลางคลองเปรม เพราะถูกพิพากษาจำคุกคดี พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์

...
คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2551 ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯที่มีจำเลยเป็นแกนนำ จัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กดดันนายสมัคร สุนทรเวช ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังทำเนียบรัฐบาล และกระจาย กำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สถานีวิทยุกระจายเสียง และกระทรวง การคลัง ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค.51 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลปิดล้อมทางเข้าออกทุกด้าน ใช้เครื่องมือทำลายกุญแจ ประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบ
ถึงวันที่ 3 ธ.ค.51 พวกจำเลยซึ่งไม่ได้รับอนุญาตร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งนำรถ 6 ล้อ ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้าผลัด เปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย ช่วงวันที่ 26 ส.ค.-3 ธ.ค.51 ระหว่างที่พวกจำเลยจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาล มีผู้ชุมนุมจำนวนมากเหยียบสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย ทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟสนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้า และหน้าตึกสันติ-ไมตรีที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหายมูลค่า 5 ล้านบาท อีกทั้งเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าไปขังในถุงดำที่ห่อหุ้มกล้องวงจรปิด ทำให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ กล้องเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท จำเลยทั้ง 6 คน ให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาวันที่ 24 ก.ค.60 แก้เป็นจำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 8 เดือน ไม่รอลงอาญา จำเลยยื่นฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ผู้เสียหายมอบให้นายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี มาร้องทุกข์ ครบองค์ประกอบ มีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนโดยชอบ อัยการโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่โต้แย้งเรื่องอำนาจฟ้องจึงฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงฟังว่าลักษณะการชุมนุมแบบดาวกระจาย แยกย้ายกันไปตามสถานที่ราชการสำคัญ ไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามที่จำเลยอ้าง เพราะพฤติการณ์ของจำเลยและผู้ชุมนุมปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลที่ล็อกไว้ ตัดโซ่และทำลายทรัพย์สินสาธารณะเสียหาย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 6 คน ฐานร่วมกันบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้ง 6 คน ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้ง 6 คน ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษนั้น ศาลเห็นว่า เมื่อการกระทำของจำเลยทั้ง 6 คนและพวกบุกเข้าทำเนียบ แม้เป็นสาธารณสมบัติแต่เป็นสถานที่บริหารราชการแผ่นดิน เป็นศูนย์รวมหน่วยงานราชการหลายแห่ง ทำลายทรัพย์สินหลายรายการ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งหกเป็นเวลา 8 เดือน ไม่รอลงอาญาเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้จำคุกจำเลยทั้ง 6 คน คนละ 8 เดือน ไม่รอลงอาญา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัว พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา ไปคุมขังตามคำพิพากษาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที ส่วนนายสนธิถูกส่งกลับไปคุมขังยังเรือนจำกลางคลองเปรมเหมือนเดิม และให้นับโทษจำคุก 8 เดือน ต่อจากคดีที่มีคำพิพากษาไปแล้วก่อนหน้านี้