เปิดหัวใจ"หมอติดปีก"บินนำส่งอวัยวะให้สภากาชาดไทย พบสถิติตัวเลขผู้ป่วยที่ปรากฏในเว็บไซต์สภากาชาดไทย ซึ่งได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะล่าสุดในเดือนธันวาคม 2561 มีจำนวนทั้งสิ้น 30 ราย โดยเฉลี่ยคิดเป็นอัตราร้อยละ 10 จากจำนวนผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะโดยรวมประมาณปีละ 300 ราย...

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.62 นพ.พัชร อ่องจริต แพทย์หน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอก ฝ่ายศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งมีหน้าที่ไปรับอวัยวะจากผู้เสียชีวิต เพื่อนำไปเปลี่ยนถ่ายอวัยวะให้กับผู้เจ็บป่วยที่มีอวัยวะไม่สมบูรณ์ กล่าวว่า เป็นแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่คนไทยมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยหนึ่งเป็นเพราะสังคมมีการรับรู้เกี่ยวกับปฏิบัติการหัวใจติดปีก ที่หัวหน้าพรรคการเมืองท่านหนึ่งอาสามาทำงานเฉพาะกิจให้กับสภากาชาดไทย โดยทำหน้าที่นักบินที่ใช้เครื่องบินส่วนตัวเป็นพาหนะรับส่งทีมแพทย์-พยาบาลเพื่อปฏิบัติการขนถ่ายอวัยวะ

นพ.พัชร กล่าวว่า ปกติพาหนะรับส่งอวัยวะ สภากาชาดไทย จะได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นๆ หลายส่วน เช่น การบินพาณิชย์ เช่น การบินไทย หรือไทยสไมล์ ซึ่งจะกันที่นั่งสำรองไว้ให้ แต่ข้อจำกัดคือ เวลาบิน ซึ่งบางครั้งแม้ว่าจะได้รับแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 6 ชั่วโมง แต่ต้องมาดูตารางบินที่เหมาะสม บางเคสหากเดินทางไม่ไกลนัก ก็มีเฮลิคอปตอร์จากโรงพยาบาลเอกชน เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ มาช่วย รวมถึงหน่วยงานของตำรวจในจังหวัดต่างๆ ก็ช่วยกาชาดด้วยเช่นกัน

...

"ในปฏิบัติการขนถ่ายอวัยวะ มีหลายครั้งที่หมอจำเป็นต้องทิ้งเคส แม้จะได้รับแจ้งล่วงหน้า เนื่องจากไม่มียานพาหนะพร้อมในเวลาที่ต้องการ กระทั่งราวสามปีก่อนได้ทราบข่าวว่า เพื่อนนักเรียนสมัยมัธยมคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันเป็นผู้บริหารบริษัทก่อสร้างใหญ่กลุ่มซิโน-ไทย และเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีงานอดิเรกที่น่าสนใจมากคือ การขับเครื่องบิน ผมจึงโทรศัพท์ไปขอความร่วมมือว่าสนใจจะบินไปอุดรธานีเพื่อรับอวัยวะผู้บริจาคด้วยกันหรือไม่ ถ้าทำได้ก็เท่ากับได้ทำบุญยิ่งใหญ่ ให้กับชีวิตคนอย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งชีวิต ปฏิบัติการหัวใจติดปีกจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่เคสนั้น และยังคงดำเนินการเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นับเนื่องได้ราว 30 เคส โดยไม่เคยได้รับการปฏิเสธแม้แต่ครั้งเดียว และหลังจากมีตัวช่วยเป็นนายอนุทิน เคสเร่งด่วนก็สามารถติดปีกทำได้ ไกลแค่ไหนก็ไปได้ โดยทุกปฏิบัติการประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นเคสที่เกือบจะต้องตัดใจทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย แต่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ"

เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ นพ.พัชร กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับแจ้งว่าต้องไปรับหัวใจที่เชียงราย ตนก็โทรศัพท์หานายอนุทินล่วงหน้าราว 6 ชั่วโมง เพื่อเช็กว่าพร้อมบินด้วยกันไหม แต่ปรากฏว่านายอนุทินมีตารางภารกิจสำคัญของพรรคในเวลาที่นัดหมายพอดี ตนคิดว่าต้องทิ้งเคสแน่ แต่สุดท้ายนายอนุทิน บอกว่า "ผมไม่ทิ้งชีวิตคน งานของพรรคเลื่อนไปก่อนได้

ปัจจุบัน สถิติที่ปรากฏในเว็บไซต์สภากาชาดไทย มีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะรวม 1,041,341 ราย และมีผู้ป่วยรอรับการบริจาครวมทั้งสิ้น 6,401 ราย อย่างไรก็ตาม สภากาชาดไทยสามารถจัดหาอวัยวะได้ปีละประมาณ 200-300 รายเท่านั้น

"ตอนนี้จำนวนผู้แจ้งความประสงค์บริจาคอวัยวะมีเพิ่มขึ้นมากในภาคอีสาน จำนวน 2 ใน 3 ของผู้บริจาคทั่วประเทศ ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะชาวบ้านได้ทราบข่าวการทำงานของคุณอนุทินในส่วนนี้เลยทำให้พวกเขาสนใจติดตาม และทำความเข้าใจเรื่องการบริจาคอวัยวะ สภากาชาดประจำจังหวัดในภาคอีสานก็รายงานว่าทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้นมาก ในฐานะหมอเห็นว่า การที่คนเริ่มเห็นความสำคัญของการบริจาคอวัยวะอย่างถูกต้อง ย่อมเป็นเรื่องที่ดีในการทำความดีช่วยชีวิตผู้อื่น จะมีอะไรน่าปลื้มใจไปกว่านี้อีก จึงขอเชิญชวนให้ผู้ใจบุญได้ร่วมแสดงความจำนงในการบริจาคอวัยวะได้ที่สภากาชาดไทยประจำจังหวัดทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วน 1664 ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย" นพ.พัชร ระบุ

ด้านนายอนุทิน กล่าวว่า นับเป็นเคสแรกที่ตนได้รับอนุญาตให้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศภายในห้องผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายอวัยวะโดยได้รับอนุญาตจากคณะแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลจังหวัดเชียงราย เพราะโดยปกติที่บินให้คุณหมอ ตนจะขับเครื่องบินไปส่งทีม แล้วรออยู่ที่เครื่องบินโดยไม่ไปไหน กี่ชั่วโมงก็รออยู่ตรงนั้น เพื่อเตรียมพร้อมบินกลับมากรุงเทพฯ ทันทีเมื่อคุณหมอและทีมหิ้วถังใส่อวัยวะกลับมา ดังนั้น วินาทีที่ได้เห็นปฏิบัติการภายในห้องผ่าตัดเป็นครั้งแรก ความปีติจึงเอ่อล้นขึ้นมาในใจทันที เป็นปีติที่เกิดจากความชื่นชมในการทำดีของผู้อื่น

...

"ในความคิดผมตอนนั้น ผมกราบลงตรงหัวใจของผู้บริจาคท่านนั้น กราบในความดีงามของหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังอะไรตอบแทน รู้สึกยินดีที่เราได้มีส่วนร่วมและมีส่วนช่วยในการทำความดีของคนอื่น" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าว.