จากเรื่องราวสุดเวทนาน่าสงสารจับใจ จนเป็นข่าวโด่งดังขจรขจายไปทั่วเมือง และตบท้ายด้วยยอดเงินที่หลั่งไหลมาจากคนไทยใจดี แต่เงินที่ให้ไปกลับกลายเป็นไร้ค่า ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ไล่เรียงเรื่องราว “คนน่าสงสาร ได้รับเงินบริจาคมากมาย แต่สุดท้ายโอละพ่อ”
อดีตดาวร้าย ป่วยอัมพฤกษ์ ลูกในคราบเมีย โพสต์รับบริจาค
ย้อนกลับช่วงปลายปี 2560 เมื่อดาวร้ายอย่าง นายกิตติ กลิ่นเกลี้ยง หรือ กิตติ ดัสกร อายุ 67 ปี ล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์ เบาหวาน และความดัน ถูกทอดทิ้งภายในบ้านแห่งหนึ่งที่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ซึ่งสภาพภายในบ้านนั้น สกปรก มีกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ และมีเศษขยะ เศษอาหารค้างปีวางกองพะเนินอยู่ทั่วบ้านทั้งชั้น 1 และชั้น 2

ต่อมา น.ส.ศศิประภา หรือคิตตี้ ระบุว่าเป็นลูกสาวของกิตติ ดัสกร โพสต์ขอบคุณคนที่บริจาคเงินให้ เพื่อนำไปใช้รักษาอาการของ กิตติ ดัสกร ที่กำลังป่วยหนัก โดยลงเลขบัญชีเอาไว้ในโพสต์ดังกล่าว พร้อมโพสต์รูปล่าสุดของ กิตติ ดัสกร ในสภาพที่ซูบผอม ดูไม่มีแรง นอนบนพื้นที่มีเพียงผ้าห่มคลุมตัว และหมอนเก่าๆ พร้อมทั้งบอกว่า ตอนนี้กิตติไม่สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ และมีหลายโรครุมเร้า ตอนนี้ต้องนอนซมเพราะพยายามเดินจนล้มหัวฟาดพื้นไปหลายครั้งแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ช่วยบริจาคเงินมาให้ ให้พาพ่อไปหาหมอ พร้อมทั้งชี้แจงว่าตนไม่ได้ทอดทิ้งแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะต้องทำงาน เมื่อทำงานเสร็จก็กลับมาดูแลพ่อต่อ
...


ภายหลังจากที่ลูกสาวของกิตติ ได้โพสต์ข้อความขอบคุณที่มีคนช่วยเหลือบริจาคเงินมาให้ ก็มีบางคนโพสต์ข้อความในเชิงลบ เนื่องจากเห็นสภาพความเป็นอยู่ของกิตติแล้ว ดูไม่ถูกสุขลักษณะ สภาพผ้าห่ม หมอน ที่นอน ดูเก่าสกปรก บ้านดูรก จนมีหลายคนต่อว่าลูกสาวว่า อาจจะไม่ได้นำเงินไปรักษาพ่อจริง
หลังจากที่มีดราม่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ทำให้ลูกสาวของกิตติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้งว่า ของดรับเงินบริจาค พร้อมกับอธิบายว่า ตนไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของกิตติ ดัสกร เป็นเพียงหลานที่แม่ฝากไว้ให้ลุงช่วยดูแล แต่เพราะรักและเคารพจึงเรียกอีกฝ่ายว่า ป๊ะป๋า

ทั้งน้ี ก็ยังมีหลายคนที่ต่อว่า ว่าตนไม่ทำหน้าที่ดูแลคนป่วยให้ดี จึงขอร้องให้ทุกคนหยุดโอนเงิน เพื่อมาช่วยเหลือป๊ะป๋าของตน เพื่อตัดปัญหา จะได้ไม่ถูกชาวเน็ตวิจารณ์จนเสียกำลังใจ พร้อมกับระบุอีกด้วยว่า จะแจ้งความคนที่ไม่รู้จริง แต่ดราม่ายังถาโถมเธอต่อเนื่อง เพราะมีชาวเน็ตออกมาถกเถียงว่า เธอนั้นไม่ใช่ลูก ไม่ใช่หลาน แต่เป็นภรรยาของกิตติ ดัสกร
ต่อมา คิตตี้ ทนกระแสสังคมกดดันไม่ไหวต้องออกมายอมรับว่า เธอเคยอยู่กินเป็นสามีภรรยากับนายกิตติมาสิบปี มีบุตรด้วยกัน 2 คน ผู้หญิงคนโต 10 ขวบ ผู้ชาย 4 ขวบ แต่ได้แยกกันอยู่ 2 ปีแล้ว ส่วนขยะที่เห็นมีมานานแล้ว นายกิตติไม่ยอมให้ทิ้ง ช่วงที่ นายกิตติไม่สบาย เดินไม่ได้ ก็หาซื้อของมาให้กิน แต่ตนไม่ค่อยมีรายได้ จึงโพสต์ไปในโลกโซเชียลว่าเป็นหลาน ขอความช่วยเหลือเรื่องความเป็นอยู่ของนายกิตติ ส่วนตัวอยากเข้ามาดูแลและช่วยเหลือ เพราะนายกิตติไม่มีใคร และสงสารเขาด้วย โทรไปบอกญาติพี่น้องเขาก็ไม่มีใครสนใจเลย

...
ไม่กี่วันถัดมา คิตตี้ โพสต์อีกในทำนองเล่าความในใจถึงสาเหตุต่างๆ ทั้งเรื่องบ้านที่มีขยะกองเต็มนั้น สาเหตุเพราะพอจะทำความสะอาดบ้านก็บอกไม่ต้องทำ อีกทั้งยังทำร้ายทุบตีจนเลือดตกยางออก โดยมีภาพยืนยัน และอีกหลายเรื่อง ที่ดูแล้ว คิตตี้ น่าจะออกมาโพสต์ด้วยความอัดอั้นไม่น้อย
ในช่วงที่เกิดดราม่ามากมายนั้น ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ ได้เข้าไปในบ้านหลังดังกล่าว พร้อมกับทำความสะอาด และให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ และ ไทด์ ได้ออกมาระบุกับสื่อว่า ตนเดินทางไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เรื่องเงินจำนวนกว่า 80,000 บาท ในบัญชีของ นายกิตติ ซึ่งเป็นเงินที่ประชาชนโอนเข้ามาในบัญชี เพื่อช่วยเหลือ แต่กลับมีการเบิกถอนโดย น.ส.ศศิประภา รุ่งมงคล ซึ่งเป็นอดีตภรรยาของกิตติเอง


...
ต่อมา คิตตี้ เดินทางมาให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างว่า ตนถอนเงินสดจำนวน 80,000 บาทจริง ซึ่งถอนในวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 4 ครั้ง ครั้งละ 20,000 บาท เพื่อนำเงินดังกล่าวไปใช้หนี้ และใช้จ่ายภายในครอบครัว รวมถึงจ่ายค่างวดรถจักรยานยนต์ที่ติดค้างชำระก่อนหน้านี้ และยินยอมที่จะชดใช้เงินคืนนายกิตติ โดยผ่อนชำระให้
ในท้ายที่สุด กิตติ กลับไปอยู่กับ คิตตี้ ภรรยาที่ตนรักเช่นเดิม โดยให้เหตุผลว่า “ผมอยากกลับไปอยู่กับลูก กับครอบครัว เพราะว่าเวลาลูกเราไปงานโรงเรียนไม่มีพ่อมีแม่ไปเราก็รู้สึกสงสารลูกอะนะ อยู่กินกันมานาน มันก็ตัดไม่ได้”


...
หนุ่มป่วยมะเร็ง คนใจบุญแห่ช่วยยอดเกือบ 10 ล้าน โดนเมียถอนซื้อรถ สร้างบ้าน
ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2561 นายเดชฤทธิ์ คำมุงคุณ ชาว จ.นครพนม ซึ่งป่วยมะเร็งในโพรงจมูก ได้ยื่นฟ้องศาลนครพนม ภายหลังจากที่ถูกภรรยาตัวเองยักยอกเงินที่ผู้ใจบุญบริจาคให้เป็นค่ารักษาพยาบาลเกือบ 10 ล้านบาท หนีไป
โดยนายเดชฤทธิ์ เล่าว่า ตนเองล้มป่วยเป็นมะเร็งในโพรงจมูก แต่ไม่มีเงินรักษา เนื่องจากฐานะยากจน และปล่อยมาเรื่อยๆ จนต้นปี 2559 เนื้อร้ายได้ลุกลามจนตาบอดสนิททั้ง 2 ข้าง ขณะนั้น น.ส.พัชรีพร สุวรรณพรม ภรรยา ยังอยู่ดูแลตนอย่างใกล้ชิด

กระทั่งกลางปี 2559 ตนได้รับการช่วยเหลือจากนายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ แต่ตนไม่มีบัญชีธนาคาร ด้วยความไว้ใจจึงให้ผู้ใจบุญโอนเงินเข้าบัญชีของภรรยาแทน เพียงวันแรกมีเงินบริจาคเข้าบัญชี 1.4 ล้านบาท จนเพิ่มเป็น 9 ล้านบาทเศษ ตนจึงได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์
สุดท้าย ตนมาทราบภายหลังว่า ระหว่างที่ตนเข้ารักษาอยู่นั้น น.ส.พัชรีพร แอบถอนเงินออกจากบัญชีครั้งแรก 200,000 บาท และถอนเงินอีกหลายครั้งรวมกว่า 3 ล้านบาท เพื่อไปซื้อรถกระบะ 4 ประตู, รถเกี่ยวข้าว, รถจักรยานยนต์ และสร้างบ้านที่ จ.มุกดาหาร และเมื่อตนกลับมารักษาตัวที่บ้าน น.ส.พัชรีพร ก็หายตัวไปแล้ว

ต่อมา นายเดชฤทธิ์ พร้อมทนายความ ได้ยื่นฟ้องร้องครอบครัวของ น.ส.พัชรีพร ต่อศาลจังหวัดนครพนม โดยพ่อแม่ของฝ่ายภรรยา ระบุว่า ลูกสาวอยู่กินกับนายเดชฤทธิ์เป็นเวลา 5 ปี ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เงินค่าสินสอดทองหมั้นใดๆ โดยฝ่ายชายอาศัยอยู่บ้านตนตลอด เมื่อป่วยมีแต่พ่อตาแม่ยายที่พาไปหาหมอ พ่อแม่แท้ๆ ไม่เคยมาเหลียวแล ส่วนที่บอกว่าไปซื้อรถกระบะและสร้างบ้านนั้น นายเดชฤทธิ์เป็นคนบอกให้ซื้อและให้สร้าง ส่วนภรรยาของ นายเดชฤทธิ์ ระบุว่า หากให้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกคงต้องขอคิดดูก่อน.