ก่อนหน้านี้เห็นได้ว่ากระแสต่อต้านของประชาชนบางกลุ่ม ออกมาเป็นระยะๆ เรื่องการสั่งซื้ออาวุธหนักชนิดต่างๆ ของทหารแต่ละกองทัพเข้ามาในราคาที่สูงริบ โดยมิได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์...เท็จจริงตรงนี้ น่าจะมีเพียงทหารเท่านั้นที่รู้ว่าความสำคัญของการสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้ นำมาใช้ประโยชน์ตอบโจทย์ด้านไหนของประเทศ
ในขณะที่ "เรือรบ" ของไทย ก็ถือเป็นอาวุธในด้านการรบทางน้ำของทหารอีกชนิดหนึ่ง และในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา เรือรบได้เข้ามามีบทบาทในการนำมาใช้สแตนด์บาย ช่วยเหลือประชาชนชาวใต้ในช่วงฝ่าวิกฤติพายุโซนร้อนปาบึก กระทั่งล่าสุดกองทัพเรือ ส่งหมู่เรือไปต้อนรับ เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เรือฟริเกตสมรรถนะสูงลำใหม่ ที่จะมาเสริมเขี้ยวเล็บด้วยความสามารถรบแบบ 3 มิติ เดินทางฝ่าคลื่นลมถึงอ่าวไทย เข้าประจำการเมื่อวานที่ผ่านมา...( 7 ม.ค.2562)
ขณะที่ "เรือฟริเกต" ของราชนาวีไทยที่ได้รับพระราชทานให้ใช้พระนาม "พระมหากษัตริย์" มาตั้งเป็นชื่อเรือ อาทิ
...
413 เรือหลวงปิ่นเกล้า (พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 ในสมัยรัชกาลที่ 4) (เดิมเป็นเรือพิฆาต ที่ลดระดับเป็น เรือฟริเกต)
421 เรือหลวงนเรศวร
422 เรือหลวงตากสิน
433 เรือหลวงมกุฎราชกุมาร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ในปัจจุบัน)
461 เรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
462 เรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัย
471 เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 พระราชทานชื่อ)
ประชาชนธรรมดาอย่างเราๆ มึนงงสงสัยเกี่ยวกับที่มาของเรือแต่ละลำ รวมไปถึงการตั้งชื่อเรือรบของราชนาวีไทย ที่เป็นไปตามระเบียบของกองทัพเรือ ว่าด้วยการแบ่งชั้นเรือ หมู่เรือ และการตั้งชื่อเรือหลวง ปี พ.ศ. 2527 จะต้องมีรายละเอียด ในส่วนของการตั้งชื่อเรืออย่างไรบ้าง และการจัดกำลังเรือรบ วันนี้ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐ ออนไลน์ ได้นำข้อมูลมาแจกแจงเผยแพร่ให้ทราบโดยทั่วกัน
- การจัดกำลังเรือรบ -
การจัดกำลังทางเรือของกองทัพเรือไทย เรือเกือบทั้งหมดจะสังกัดกองเรือต่างๆ จำนวน 8 กองเรือ และขึ้นตรงกับกองเรือยุทธการ (กร.) ที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยเตรียมกำลัง (ดูแลรักษาซ่อมบำรุงเรือและทำการฝึกกำลังพลประจำเรือให้อยู่ในสภาพพร้อมรบ) โดยเป็นการจัดในลักษณะของการจัดตามประเภทของเรือ (type organization) แต่ในการปฏิบัติภารกิจจริง เรือจากกองเรือต่างๆ จะได้รับการจัดรวมกันตามประเภทของภารกิจ (task organization) ขึ้นตรงกับทัพเรือภาคที่ 1 ถึง 3 (ทรภ.1 ถึง 3) ที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยใช้กำลัง ในลักษณะหน่วยเฉพาะกิจ เช่น หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน (มชด.) สังกัด ทรภ.1 ที่ประกอบด้วยเรือเร็วโจมตี เรือตรวจการณ์ปืน เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง หรือเรือจากกองเรือต่างๆ อาจขึ้นตรงกับหน่วยเฉพาะกิจต่างๆ ของกองทัพเรือโดยตรง
เช่น หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) หรือหมู่เรือรักษาการณ์วังไกลกังวล (มรก.) นอกจากนี้ใน กร. เองยังมีเรือที่ไม่ได้ขึ้นกับกองเรือทั้ง 8 กองเรือ แต่อยู่ในสังกัดของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (นสร.) จำนวนหนึ่ง คือ เรือตรวจการณ์ชายฝั่งและเรือปฏิบัติการพิเศษ สำหรับสนับสนุนการปฏิบัติงานของกำลังพลนักทำลายใต้น้ำจู่โจม (SEAL) สำหรับเรืออื่นๆ คือ เรือสำรวจและเรือใช้งานเครื่องหมายทางเรือจะอยู่ในสังกัดของกรมอุทกศาสตร์ เรือที่กล่าวถึงนี้จะไม่รวมถึงเรือขนาดเล็กที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางเรือโดยตรงอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในสังกัดของกองสนับสนุน กองเรือยุทธการ (กสน.กร.) ที่เรียกว่า เรือ กร. และที่อยู่ในสังกัดของกองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ (กรล.ขส.ทร.) ที่เรียกว่า เรือ ขส. เช่น เรือรับรอง เรือบริการ เรือลำเลียง เรือลากจูง และเรือราชพิธี
...
- การตั้งชื่อเรือ -
1. เรือตั้งแต่ชั้น 1 ถึงชั้น 3 ที่มีระวางขับน้ำปรกติ ตั้งแต่ 150 ตันขึ้นไป ให้ตั้งชื่อเรือ ตามหลักเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ (ดูข้อ 3) และให้ใช้คำว่า "เรือหลวง" (ร.ล.) นำหน้าชื่อเรือ (ร.ล. เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า H.T.M.S)
2. เรือที่มีระวางขับน้ำปรกติ ต่ำกว่า 150 ตันลงมา และเรือขนาดเล็ก ให้ตั้งชื่อเรือ ด้วยอักษรย่อตามชนิด และหน้าที่ของเรือ มีหมายเลขเรือต่อท้ายอักษร เช่น เรือตรวจการณ์ลำน้ำ ใช้ชื่อ เรือ ต., เรือยามฝั่ง ใช้ชื่อ เรือ ร.ย.ฝ.
3. การตั้งชื่อเรือหลวง ให้ถือหลักเกณฑ์ดังนี้
3.1 เรือพิฆาต (destroyer) ตั้งตามชื่อตัว, ชื่อบรรดาศักดิ์, หรือ ชื่อสกุลของบุคคลที่เป็นวีรบุรุษของ ชาติ เช่น ร.ล. พระร่วง (ปลดระวางประจำการแล้ว)
3.2 เรือฟริเกต (frigate) ตั้งตามชื่อแม่น้ำสายสำคัญ เช่น ร.ล. เจ้าพระยา, ร.ล. บางปะกง, ร.ล. กระบุรี, ร.ล. สายบุรี
3.3 เรือคอร์เวต (corvette) ตั้งตามชื่อเมืองหลวง หรือเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์เช่น ร.ล. รัตนโกสินทร์, ร.ล. สุโขทัย
...
3.4 เรือเร็วโจมตี (fast attack craft)
- เรือเร็วโจมตี (อาวุธนำวิถี) (fast attack craft guided missile) ตั้งตามชื่อเรือรบในทะเลสมัยโบราณ ที่มีความหมายเหมาะสมแก่หน้าที่ ของเรือนั้นๆ เช่น ร.ล.ราชฤทธิ์, ร.ล. วิทยาคม, ร.ล. อุดมเดช
- เรือเร็วโจมตี (ปืน) (fast attack craft) และเรือเร็วโจมตี (ตอร์ปิโด) (fast attack craft, torpedo) ตั้งตามชื่อจังหวัดชายทะเล เช่น ร.ล. สงขลา, ร.ล. ชลบุรี ซึ่งเป็นเรือเร็วโจมตี (ปืน)
3.5 เรือดำน้ำ (submarine) ตั้งตามชื่อผู้มีอิทธิฤทธิ์ ในนิยายหรือวรรณคดี เกี่ยวกับการดำน้ำ: ราชนาวีไทยเคยมีเรือดำน้ำประจำการจำนวน 4 ลำ คือ ร.ล. มัจฉานุ, ร.ล. วิรุณ, ร.ล. สินสมุทร และ ร.ล. พลายชุมพล ซึ่งปลดประจำการหมดแล้ว
3.6 เรือทุ่นระเบิด (mine ship) ตั้งตามชื่อสมรภูมิที่สำคัญ เช่น ร.ล. ลาดหญ้า, ร.ล. ท่าดินแดง
3.7 เรือยกพลขึ้นบก (landing ship), เรือระบายพล (landing craft), เรือส่งกำลังบำรุง, เรือน้ำมัน (oiler), เรือน้ำ, เรือลากจูง (harbor tug) และเรือลำเลียง ตั้งตามชื่อเกาะ เช่น ร.ล. ช้าง และ ร.ล. พงัน ซึ่งเป็นเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่, ร.ล. สมุย ซึ่งเป็นเรือน้ำมัน
...
3.8 เรือตรวจการณ์ (patrol combatants)
-เรือตรวจการณ์ (ปืน) (patrol craft) ตามชื่ออำเภอชายทะเล เช่น ร.ล. สัตหีบ, ร.ล. ท้ายเหมือง, ร.ล. กันตัง
-เรือตรวจการณ์ (ปราบเรือดำน้ำ) (patrol craft, antisubmarine) ตั้งตามชื่อเรือรบในลำน้ำ สมัยโบราณที่มีความหมายเหมาะสมแก่หน้าที่ ของเรือนั้นๆ เช่น ร.ล. ทยานชล, ร.ล. คำรณสินธุ (ปลดระวางประจำการแล้ว)
3.9 เรือสำรวจ (ขนาดใหญ่ - oceanographic research ship) (ขนาดเล็ก - surveying ship, coastal) ตั้งตามชื่อดาวที่สำคัญ เช่น ร.ล. จันทร์, ร.ล. ศุกร์
3.10 เรือหน้าที่พิเศษ ตั้งชื่อด้วยถ้อยคำ ที่มีความหมาย เหมาะสมแก่หน้าที่ ของเรือนั้นๆ
3.11 เรือที่ไม่ได้กล่าวไว้ ในระเบียบนี้ ให้พิจารณาตั้งชื่อ ตามความเหมาะสม เป็นคราวๆ ไป
ทั้งนี้ ชื่อเรือที่มีระวางขับน้ำปรกติ ตั้งแต่ 150 ตัน ขึ้นไปให้ขอพระราชทานพระมหากษัตริย์ทรงตั้ง ส่วนชื่อเรือที่มีระวางขับน้ำปรกติต่ำกว่า 150 ตันลงมา กองทัพเรือเป็นผู้ตั้งชื่อ การเขียนชื่อเรือ มีหลักปฏิบัติ ประกอบไปด้วย
1. ชื่อเรือที่มีระวางขับน้ำปรกติ
ตั้งแต่ 150 ตัน ขึ้นไป ให้ทำด้วยทองเหลือง ตรึงติดกับตัวเรือตอนท้ายสุดเหนือแนวน้ำ บนพื้นสีน้ำเงิน เว้นแต่เรือบางลำ หรือบางประเภท จะติดชื่อเรือตรงนั้นไม่สะดวก ก็ให้ติดไว้ข้างเรือ ตอนท้ายทั้งสองข้าง ส่วนเรือดำน้ำให้ตรึงติดไว้กับตัวเรือทั้งสองข้างค่อนทางหัวเรือเหนือแนวน้ำ ขณะลอยลำเต็มที่
2. ชื่อเรือที่มีระวางขับน้ำปรกติต่ำกว่า 150 ตันลงมา
ให้เขียนด้วยสีขาวทั้งสองข้างตอนหัวเรือตรงกึ่งกลาง ระหว่างแนวน้ำกับแนวกราบเรือ
3. ให้ติดป้ายชื่อเรือ ตามข้อ 1 และข้อ 2
ที่มีระวางขับน้ำ ตั้งแต่ 100 ตันขึ้นไป และเรือประเภทเรือเร็วตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ที่ข้างสะพานเดินเรือทั้งสองกราบ เป็นภาษาไทยอยู่ด้านบน และภาษาอังกฤษอยู่ด้านล่าง ลักษณะของป้ายชื่อเรือ ให้เป็นไปตามที่กองเรือยุทธการกำหนด
4. การเขียนหมายเลข (hull number)ให้ใช้ตัวเลขอาระบิค
- ที่มาของ หมายเลขเรือ (Hull Number) -
หมายเลขตัวเรือ (Hull number) จะถูกเขียนไว้ที่หัวเรือ (ในเรือดำน้ำ หมายเลขตัวเรือจะเขียนไว้บริเวณหอกล้องตาเรือ) หมายเลขตัวเรือจะช่วยยืนยันรูปพรรณของเรือ คำนี้ใช้อีกอย่างหนึ่งได้ว่า "bow number" เช่นหมายเลขหลักที่ 1 แสดงประเภทของเรือ มี 9 ประเภท เรียงตามหมายเลข
- เรือบัญชาการและสนับสนุนการยกพลขึ้นบก (amphibious command and support ship)
- เรือดำน้ำ ( submarine )
- เรือเร็วโจมตี ( fast attack craft)
- เรือพิฆาต เรือฟริเกต และเรือคอร์เวต ( destroyer, frigate and corvette )
- เรือตรวจการณ์ (patrol vessel)
- เรือสงครามทุ่นระเบิด (mine ship)
- เรือยกพลขึ้นบก (landing ship)
- เรืออุทกศาสตร์ เรือช่วยรบ และเรือประเภทอื่นๆ
- เรือบรรทุก เครื่องบิน/เฮลิคอปเตอร์ (aircraft/helicopter carrier)
หมายเลขหลักที่ 2 แสดงชั้นของเรือ
โดยนับจากลำดับเรือที่ต่อเสร็จและปล่อยลงน้ำก่อนของแต่ละชั้น เช่น เรือประจัญบานไอโอวา ซึ่งเป็นเรือลำแรกของชั้น ไอโอวา เป็นต้น ส่วนเรือที่มีชั้นใกล้เคียงกัน จะได้พิจารณารวมไว้ในชั้นเดียวกัน
หมายเลขหลักที่ 3 และ 4 แสดงลำดับที่ของเรือ
โดยนับจากเรือที่ต่อเสร็จและปล่อยลงน้ำก่อน เริ่มจากลำดับที่ 1 เรียงต่อไปตามลำดับ ในกรณีที่มีเรือในชั้นเดียวกัน มีมากกว่า 9 ลำ หมายเลขเรือจะเพิ่มเป็น 4 ตัว.
ข่าวเกี่ยวข้อง
"บิ๊กลือ" ต้อนรับ "เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช" เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพเรือ