เรียกว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำของภาคราชการมาช้านาน...ที่ดีแต่แก้ปัญหาแบบขายผ้าเอาหน้ารอด ไม่จีรังยั่งยืน เอาเงินภาษีไปจ่ายเยียวยาให้พี่น้องชาวสวนยาง ไร่ละเท่านั้นเท่านี้ สุดท้ายไม่มีอะไรดีขึ้น ปีหน้ายังต้องแจกกันต่อไม่สิ้นสุด
แต่หนนี้ เพิก เลิศวังพง อดีตหัวหน้าพรรคยางพาราไทย และอดีตประธานชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กลับยกธงเชียร์นโยบายของ นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่กำลังผลักดัน โครงการเอาน้ำยางพารามาทำถนนพาราซอยล์ซีเมนต์ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร
เพราะเชื่อว่าเป็นหนทางที่จะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ชาวสวนยางได้ประโยชน์เต็มๆ
ถ้าผู้บริหารประเทศรู้เท่าทันเล่ห์กลฝูงเหลือบในวงการยางพารา ที่มาทั้งในคราบพ่อค้า บอร์ด ตัวแทนเกษตรกร นักวิชาการ ข้าราชการ และกรรมาธิการ
แก้ได้ยั่งยืน เพราะที่อ้างยางราคาตกเนื่องจากผลผลิตล้นตลาด เกินสต๊อกตลาดโลกไปถึง 5 แสนตัน...แต่เมื่อเอาน้ำยางมาทำถนนพาราซอยล์-ซีเมนต์ (ดิน+ซีเมนต์+น้ำยางข้น) ระยะทาง 1 กม. จะใช้น้ำยางข้น 12-19 ตัน (ขึ้นอยู่กับสภาพดินแต่ละพื้นที่) เฉลี่ยแล้ว 1 กม. ใช้น้ำยางข้น 15 ตัน
ทั้งประเทศมี 75,000 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 กม. ต้องใช้น้ำยางข้น 1,125,000 ตัน...ที่ล้นสต๊อกตลาดโลก หายวับไปทันที แถมยังเกิดภาวะขาดตลาดอีกต่างหาก แล้วราคาจะไม่กระเตื้องขึ้นได้ยังไง
นี่แค่หมู่บ้านละ 1 กม.เท่านั้น ถ้าหมู่บ้านละหลายสิบกิโลฯ จะเกิดอะไรขึ้น
ที่สำคัญพาราซอยล์ซีเมนต์ไม่ได้ใช้ประโยชน์แค่เป็นถนนดินไร้ฝุ่น ยังสามารถเป็น subbase หรืองานรองพื้นถนนได้หลายแบบ ไม่ว่าจะรองพื้นถนนลาดยาง รองพื้นทางรถไฟความเร็วสูง-ความเร็วต่ำ ที่ทนต่อการกัดเซาะของน้ำฝน น้ำท่วม...คิดดูละกัน ยางที่ล้นตลาดขายไม่ออกจะหายไปมากขนาดไหน
...
แต่ถ้ารัฐบาลมุ่งมั่นคิดจะช่วยให้ชาวสวนยางได้ประโยชน์แบบเต็มๆ เพิก เลิศวังพง ให้ข้อคิด...ต้องทำให้ครบวงจร มากกว่าให้ชาวบ้านขายเป็นแค่น้ำยางสด มิเช่นนั้นฝูงเหลือบวงการยางจะคว้าพุงปลาไปกิน
ควบวงจรต้องทำกันแบบไหน...พรุ่งนี้มาว่ากันต่อ.
สะ–เล–เต