"เขาไม่ใช่ลูกน้องของนายพลดัง ตามที่สื่อหลายสำนักได้เสนอข่าวออกไป แต่เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตำรวจที่มีฉายาว่า "มือปราบยมบาลตะวันตก" แต่ที่ถูกเหมารวมว่าเป็นลูกน้องนายพลคนดัง เพราะไปมีชื่อทำคดีอุ้มฆ่าตระกูล ศรีธนะขัณฑ์ ที่ว่าพัวพันกับคดีเพชรซาอุ จนกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญโด่งดังไปทั้งประเทศ ในปี 2532 แต่ก่อนหน้านี้เขาก่อเหตุฆ่าโหดสะเทือนขวัญมาตลอด แต่มาเกม คดีนี้ติดคุกพร้อมกับนายพลคนดัง"  ข้อมูลจากผู้คร่ำหวอดแวดวงนักสืบ 

พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ หรือ "นายพันศักดิ์" อดีตตำรวจ รู้จักกันดีในแวดวงผู้มีอิทธิพล  กับฉายาหัวหน้าซุ้มมือปืนลำดับต้นๆ ของภาคตะวันออก เคยก่อคดีอุ้มฆ่า ส.ท.สมเกียรติ น้อยเล็ก หรือสิบโทโน๊ต อดีตมือปืนคนดัง คดีอุ้มฆ่ากำนันประเชิญ บุญปราโมทย์ คดีอุ้มฆ่านางตรีนุช บุญทวี ภรรยาอดีตสมาชิกสภา จ.ปราจีนบุรี เมื่อหลายปีก่อน

"ย้อนไปเมื่อประมาณปี 2532 สมัยนั้นภาคตะวันออก ยังเต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพลมืด เกิดเหตุฆ่านองเลือดกันตลอดทั้งปี ปมขัดแย้งผลประโยชน์ และไม่พอใจกันตามประสานักเลงเจ้าพ่อ แถมการจับกุมตัวผู้ต้องหาในวันนั้น เป็นไปด้วยความยากลำบาก ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ ถือเป็นตำรวจสายดำ ฆ่าโหด และผ่านการก่อเหตุฆ่ารัดคอ "สิบโทโน๊ต" ซึ่งในสมัยนั้น สิบโทโน๊ตที่ว่าโหดสุดๆ แล้ว ยังสู้ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ไม่ได้เลย" แหล่งข่าวให้ข้อมูล 

...

ระหว่างที่ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ดำรงตำแหน่งสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองปราจีนบุรี เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าชุด อุ้มฆ่านางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ภรรยาและบุตรของนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ ที่พัวพันกับคดีเพชรซาอุ เมื่อปี 2532 ในวันนั้น เขาให้การพาดพิงถึง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ระบุเป็นหัวหน้าทีมคลี่คลายคดีว่า เป็นผู้สั่งการ กระทั่งศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ ส่วน พ.ต.ท.พันศักดิ์ ให้การเป็นประโยชน์ จึงได้รับการลดหย่อนโทษเหลือจำคุก 40 ปี อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากตำรวจคนสนิทระบุชัดเจนว่า พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ไม่ได้เป็นหัวหน้าเขาโดยตรง แต่คนที่รู้จักคุ้นเคยใช้งาน พ.ต.ท.พันศักดิ์ ในยุคนั้น เป็นตำรวจยศใหญ่ มีฉายาว่า "มือปราบยมบาลตะวันตก"

"เขาเป็นนักฆ่ารุ่นเก่า อยู่ในคุกนานหลายปี ไม่รู้เทคโนโลยีความทันสมัยของประเทศ พอพ้นโทษออกมา ปี 2555 ก็หาทำอาชีพรับจ้างใน จ.สระแก้ว จากนั้นก็ก่อคดีอุ้มฆ่าเผานั่งยางเสี่ยอ้วน ตามคำสั่งคู่ขัดแย้งผลประโยชน์ในตลาดโรงเกลือ กล้องวงจรปิด หลักฐานทุกๆ อย่างในการนำสืบเชื่อมโยงไปถึงตัวเขาทั้งหมด เขาไม่ได้มีการระมัดระวังตัว เพราะไม่รู้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนอกคุก นำสู่การถูกจับกุมตัวยังบ้านพัก สุดท้ายก็ได้ประกันตัวและหนีประกัน กระทั่งต่อมาศาลพิพากษาประหารชีวิตเมื่อปี 2558" แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว 

แม้ศาลจังหวัดสระแก้ว จะมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตในคดีอุ้มฆ่าและเผานั่งยางนายชัยชนะ หมายงาน หรือเสี่ยอ้วนโรงเกลือ เจ้าของธุรกิจนำเข้าและส่งออกชายแดนไทยกัมพูชา ไปเมื่อปี 2558 แต่เพียง 3 ปีให้หลังจากคดีนี้ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ก็ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีรับจ้างฆ่าเสี่ยปั๊มอีกครั้ง

"เมื่อปี 2558 ตำรวจหลายหน่วยงานพยายามติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหารายนี้ แม้กระทั่งนักสืบมือฉมังของกองปราบปรามเอง ก็ยังไม่สามารถติดตามแกะรอยกลับมาดำเนินคดีได้ ตามไปที่บ้าน สอบปากคำญาติพี่น้อง ก็บอกปัดเพียงไม่รู้ไม่เห็น และไม่สามารถมีอะไรเชื่อมโยงนำไปสู่การจับตัวได้ เบาะแสในครั้งนั้น ตำรวจทราบเพียงว่า เขามีความสัมพันธ์อันดี และเดินทางเข้าออกไทยและกัมพูชาบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยถูกด่านตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุม เป็นไปได้ว่า อาจจะหลบหนีออกเส้นทางธรรมชาติ ส่วนปมที่ยังไขกันไม่ออกคือ ทำไมทางกัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือในการช่วยติดตามจับกุมกลับมาดำเนินคดีทั้งๆ ที่เป็นผู้ต้องหาที่ก่อคดีร้ายแรง" แหล่งข่าวกล่าว 

...

ต่อมาปลายปี 2561 ก็ก่อเหตุซ้ำในคดีลอบสังหารเจ้าของปั๊มน้ำมันกลางเมืองสระแก้ว ซึ่งทางตำรวจภูธรเมืองสระแก้ว ให้ข้อมูลว่า มีหลักฐานที่เชื่อมไปถึงตัว พ.ต.ท.พันศักดิ์ เป็นผู้ลั่นไกสังหาร "นายประชา วรทัด" เจ้าของปั๊มน้ำมันศรีสุวรรณรุ่งเรือง และยิงนางปลิดา วรทัด ภรรยา บาดเจ็บ โดยมีพวกอีก 4 คนสนับสนุน หลังได้รับการจ้างวานฆ่า จากอดีตเจ้าของปั๊มน้ำมันที่เกิดเหตุ เนื่องจากไม่พอใจ ที่ผู้เสียชีวิตไม่ยอมขายที่ดินคืนให้

"น่าสงสัยไหม หลังเหตุการณ์ฆ่าเสี่ยปั๊มเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลายหน่วยงาน ประสานกำลังหวังจับกุม พ.ต.ท.พันศักดิ์ แต่ก็ยังไม่สามารถแตะไปถึงตัวเขาและเพื่อนร่วมกระบวนการได้ ...หากย้อนไปเมื่อหลาย 10 ปีก่อน ตำรวจสมัยนั้นเขารู้กันว่า ผู้ต้องหารายนี้ ถูกยืมมือขึ้นมาฆ่าเพื่อชาติ ฆ่าแล้วรอดพ้นคดี ฆ่าแล้วได้รับการประกันตัว กระทั่งล่าสุด ฆ่าแล้วยังหนีรอดไปได้ตลอด ว่ากันว่า การฆ่าเพื่อชาติ ผู้ที่ถูกฆ่าก็ไม่ใช่คนดีมาจากไหน เป็นโจรผู้ร้ายรายหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือรัฐบาลยุคนั้นต้องการกำจัด" ข้อมูลจากแหล่งข่าว 

หากจะให้ย้อนเรื่องราวกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ถึงประเด็น "ฆ่าเพื่อชาติ" ในวันนี้คงไม่เหลือข้อมูลอะไรให้ตรวจสอบเพราะนานมาก แต่คำพูดวลีดังกล่าว โด่งดังมากในแวดวงตำรวจและบรรดาซุ้มมือปืน เรื่องราวยืดยาวนานมาจนถึงวันนี้ คงหาตัวตนคนยืนยันที่ชัดเจนไม่ได้แน่ๆ ว่า ใครอยู่เบื้องหลังการฆ่าในแต่ละครั้งของ พ.ต.ท.พันศักดิ์ เพราะท้ายที่สุด คำพูดวลีสวยๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในยุคสมัยนั้น อาจไม่มีมูลความจริงแม้สักเรื่องเดียว  

...

 "คุณว่ามันบังเอิญรึเปล่าล่ะ? สมัยนั้นเขาพ้นคุกออกมาเพราะให้การเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ กระทั่งมาได้รับการประกันตัวฆ่าเผ่าเสี่ยโรงเกลือ หนีหายไป 2-3 ปี ตำรวจมือฉมังเก่งๆ ระดับกองปราบปราม ยังแกะรอยจับไม่ได้ ปล่อยให้ยกทัพกลับมาก่อเหตุอีก ฆ่าเสี่ยปั๊มในจังหวัดสระแก้วเมื่อเดือนก่อน ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ตำรวจไทยจะจับได้ไหม หากหนีไปกบดานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านจริงอย่างว่า ทางรัฐบาลไทยจะไม่มีคอนเน็กชั่นในการขอความช่วยเหลือตามตัวกลับมาเชียวหรือ ในเมื่อคดีอื่นๆ ก็เคยลากคอกลับมาได้ตั้งเยอะแยะ ... ในวันนี้แตกต่างจากหลายสิบปีก่อน จึงเป็นไปได้ว่า การลงมือฆ่าตามใบสั่งของเขา อาจจะเป็นการฆ่าเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ที่เราไม่รู้คือ ใครคือผู้มีบารมีคอยช่วยเหลือให้หลบหนี ซึ่งผู้มีบารมีคนนั้น อาจไม่ได้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ แต่ช่วยเพราะเคยใช้งานกันมาก่อน ก็เป็นได้" แหล่งข่าวให้ข้อมูลทิ้งท้าย 

 ***ที่สุดแล้ว วันนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งมือดีระดับนายพล ที่เหมือนดั่งว่า "มีความคุ้นเคย" โตทันกันในยุคสมัยนั้น ลงพื้นที่นำทีมตำรวจหลายหน่วยสืบสาวคดี  ... ว่ากันว่า รอบนี้หากตามตัวเจอ "ต้องจับตาย" เพื่อไม่ให้มีการก่อเหตุสะเทือนขวัญซ้ำซากขึ้นอีก....แต่ถ้าตำรวจตามตัวไม่เจอ ปล่อยให้หนีหายจนอาจจะวนกลับมาก่อเหตุใหม่ในครั้งต่อไป วลีสวยๆ ที่บอกว่า "ฆ่าเพื่อชาติ" อาจเป็นคำพูดที่มีมูลความจริง หรือปมลับบางอย่าง ที่ทำให้ตำรวจไม่สามารถจับตัว พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ ได้ไม่ว่าจะก่อคดีสะเทือนขวัญยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม ***

...