"บิ๊กโจ๊ก" พร้อมตำรวจ สน.บางซื่อ จับผู้ต้องหา วัย 66 ปี แอบอ้างเป็นตำรวจ "ยศนายพล-อดีตผู้การเชียงใหม่" หลอกเหยื่อช่วยวิ่งเต้นคดี ยังไม่จบบอกจบ นรต.28 แถมแหกตารู้จักนายกฯ สร้างเครดิตตัวเอง หลอกตุ๋นเหยื่อ
เมื่อวันที่ 21 ก.ย.61 ที่ห้องประชุม ศปก.สน.บางซื่อ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สปพ. บช.ทท. และเจ้าหน้าที่ตรวจ สน.บางซื่อ แถลงจับกุม นายภูมิภัทร ภัทรธำรงค์ อายุ 66 ปี บ้านเลขที่ 590/223 ซ.สุเหร่าคลองหนึ่ง 13 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. ข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่งกายเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน (ตำรวจ) โดยไม่มีสิทธิใช้ยศ ตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือสิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมของกลางนามบัตร เอกสารการเปลี่ยนชื่อ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ (เอทีเอ็ม) จำนวน 3 ใบ โทรศัพท์ จำนวน 2 เครื่อง จับกุมได้ภายในกรมการขนส่งทางบก ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ผู้ต้องหารายนี้ชื่อเดิม คือ นายจิรกิตติ์ พลอยประยูร แล้วทำการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น นายภูมิภัทร ภัทรธำรงค์ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.61 ที่ผ่านมา คดีนี้สืบเนื่องจากผู้ต้องหาได้ทำการแอบอ้างตัวเอง และทำนามบัตรเป็น พล.ต.ต.จิรกิตติ์ จีบภิญโญ อดีตผู้การเชียงใหม่ และยังมีภาพถ่ายใส่เครื่องแบบตำรวจชุดขาวติดยศพลตำรวจตรี ใส่สายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นที่ 3 ลงในเฟซบุ๊กอีกด้วย
...
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า พฤติการณ์ผู้ต้องหามักจะโทรศัพท์ไปสถานีตำรวจแล้วขอเบอร์ รอง ผกก.ป. หรือ สวป.แล้วอ้างตัวกับเจ้าหน้าที่ที่คุยว่าตนเป็นอดีตผู้การ จบ นรต.28 แถมยังรู้จักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ก่อนทำทีนัดแนะตำรวจให้เข้ามาหาตน ขณะนัดไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้เสียหายว่า สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จริง และสามารถไกล่เกลี่ยคดีความต่างๆ ได้ คาดว่าก่อเหตุมาหลายพื้นที่ นานกว่า 1 ปี มีผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 5 คน
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า แต่ครั้งนี้ไม่รอด ผู้ต้องหาได้โทรศัพท์มายังห้องวิทยุ สน.บางซื่อ เพื่อถามหา สวป.สน.บางซื่อ ว่าคนใดเข้าเวรและขอหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวเพื่อประสาน จากนั้นโทรไปหาแล้วอ้างว่าตัวเองตามข้างต้น จะเดินทางมาติดต่อโอนชื่อเจ้าของรถยนต์ให้หลาน และขอเลขทะเบียนสวยที่กรมการขนส่งทางบก ย่านจตุจักร โดยจะเข้าพบอธิบดีกรมการขนส่ง ขอให้ช่วยในการอำนวยความสะดวกให้ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางซื่อ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สปพ.ร่วมกันวางแผน เมื่อไปถึงหน้าห้องอธิบดีได้ทำการสอบถามโดยแอบบันทึกคลิปเสียง การอ้างตัวเองว่ารุ่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้การเชียงใหม่ รวมถึงรุ่นตำรวจ จากนั้นได้ทำการตรวจสอบพบว่าไม่มีบุคคลดังกล่าวจริง จึงเชิญตัวมาที่ สน.บางซื่อ
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า จากการสอบถาม นายภูมิภัทร ทราบว่าก่อนหน้านี้เคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ยศ พ.ต.ท.ในตำแหน่ง สว.ธุรการ สน.เตาปูน ก่อนจะถูกให้ออกราชการ เนื่องจากไปพัวพันเกี่ยวกับคดียาเสพติด เมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา แต่ นายภูมิภัทร ยังให้การภาคเสธว่าไม่ได้ทำการหลอกชาวบ้าน ว่าสามารถไกล่เกลี่ยคดีได้ และไม่ได้ถูกไล่ออกด้วยคดียาเสพติกแต่เป็นคนลาออกเอง ส่วนเรื่องการแอบอ้างไม่ขอพูดถึง ทั้งนี้จะสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง แต่ทางเจ้าหน้าที่มีหลักฐานในการดำเนินคดีผู้ต้องหารายนี้ เนื่องจากมีหลักฐานทั้งวัตถุและทราบว่ามีผู้เสียหาย 1 ราย เป็นชาว จ.กาญจนบุรี ศูนย์เงินไปกว่า 5 แสนบาท ซึ่งกำลังเดินทางมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้นนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ดำเนินการต่อไป.