ฉาวกระฉ่อนเกาะเต่าอีกแล้ว เมื่อสื่อกระแสหลัก พากันเอาข้อความจากเฟซบุ๊กผู้ตายรายหนึ่งออกมาเปิดเผย ภายหลัง 'ไบเกอร์หนุ่ม' ลั่นไกปลิดชีพตัวเอง ระบุในจดหมายลาตายชัดเจน ต้นเหตุเกิดจากภรรยาอันเป็นที่รัก ด้วยความแค้นสุมอก บรรจงเขียนประโยคชวนขนลุกก่อนใช้ปืนยิงเสยคาง "พี่จะอยู่ทุกๆ มุมมืด คอยดูเรา พี่ไม่ต้องการไปเกิดใหม่ พอแล้ว.."

นายพัธรพล เอกปฐมศักดิ์ หรือ หนุ่ม อายุ 48 ปี เจ้าของบริษัทอัลวาโร่ ไดฟ์วิ่ง และ ร้านอาหารไพเรท บาร์ บนเกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี แต่งกายด้วยชุดขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ ใช้อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ใต้คางกระสุนฝังใน 1 นัด เสียชีวิตภายในบ้านพัก พร้อมเขียนจดหมายสั่งเสียไว้ในเว็บไซต์แห่งหนึ่งพร้อมโพสต์ลิงก์ไว้ที่หน้าเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีใจความตัดพ้อและสั่งเสียครอบครัวไว้ดังนี้ คำสั่งเสียสุดท้ายของ 'ไบเกอร์หนุ่ม' ก่อนลั่นไกปลิดชีพ ด้วยความแค้นสุมอก

ล่าสุด ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ได้เปิดใจสัมภาษณ์คนใกล้ตัวซึ่งมีกิจการและอาศัยอยู่ในพื้นที่เกาะเต่า และรู้จักกับครอบครัวดังกล่าว ให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่า เรื่องราวเมนหลักเป็นไปตามที่จดหมายของผู้ตายได้เขียนไว้ ในด้านของภรรยา ครอบครัวเขาก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงและมีที่ดินอยู่บริเวณโฉลกบ้านเก่า ในพื้นที่ เกาะพะงัน ก่อนหน้านี้ ผู้ชายเคยเป็นครูสอนดำน้ำ จากนั้นได้สร้างเนื้อสร้างตัวจนมีเงินมาทำธุรกิจเปิดโรงเรียนสอนดำน้ำเป็นของตัวเองตั้งอยู่ในพื้นที่ของญาติฝ่ายภรรยาคนปัจจุบันที่มีปัญหาด้วย ตอนนี้ธุรกิจบางตัวมีปัญหา และฝ่ายหญิงก็เหมือนต้องการจะให้ผู้ตายยกสมบัติให้ทั้งหมด 

...

"ฝ่ายชายเป็นคนขยันทำมาหากิน ส่วนฝ่ายหญิงเคยมีสามีมาแล้วตามที่จดหมายได้ระบุไป ทั้งนี้ในเกาะเต่าก็ทราบกันดีเรื่องความเจ้าชู้ของฝ่ายหญิง (ซึ่งผู้ตายเป็นคนบอกเล่า) ที่ทุกคนเหมือนจะรู้กัน แต่ไม่ได้มีใครอยากจะไปยุ่งเรื่องส่วนตัว อย่างไรก็ตามพักหลัง ทั้งคู่ทะเลาะกันบ่อยมาก และฝ่ายชายเคยบ่นให้คนรู้จักฟังว่า ฝ่ายหญิงชอบไล่ให้ออกไปจากพื้นที่ของตัวเอง ฐานะทางบ้านฝ่ายหญิง เขาก็มีพอตัว ส่วนฝ่ายชายทำธุรกิจขยัน และเป็นคนจริงจังกับชีวิต ล่าสุด เหมือนจะจับได้อีกว่าผู้หญิงไปมีคนอื่น พักหลังผู้ตายมีความวิตกกังวล และไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ก่อนจะก่อเหตุสลดขึ้น"

อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่ว่าขณะนี้ฝ่ายหญิงปันใจและกำลังคบหากับชายอีกคนนั้น ตนไม่ขอพาดพิงถึง เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัวเขา เชื่อว่าข่าวที่ออกมาก็ทำให้หลายฝ่ายบอบช้ำกันมากพอแล้ว