“ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” แถลงเปิดใจครั้งแรก โอดเป็นแพะรับบาป ถูก “ปริญญา” โกงและข่มขู่เหมือนกัน จนผู้ใหญ่แนะนำให้ไปพึ่ง “ผู้กองมนัส” ช่วยเจรจาจนได้รับโอนหุ้นคืน ยันคุณหญิง ส.ไม่เกี่ยวข้อง มีกิจกรรมเฉพาะสายบุญเท่านั้น แต่ไม่ตอบคำถามเรื่องพานักข่าวไปโรดโชว์เหรียญดราก้อนคอยน์ ที่ฮ่องกงและมาเก๊า ด้านกองปราบฯสแกนคำให้สัมภาษณ์เจ้าพ่อตลาดหุ้น เล็งข้อมูล “ปริญญา” โอนหุ้นดีเอ็นเอ 455 ล้านหุ้นให้ “ผู้กองมนัส” ถ้าเกิดขึ้นระหว่างการกระทำผิด ต้องแจ้งข้อหาดำเนินคดีกรณีนี้ด้วย
กรณีตำรวจกองปราบปรามเข้าสอบสวนขบวนการหลอกลวงนายเออาร์นี โมตาวา ซาริมา ชาวฟินแลนด์ ให้ร่วมลงทุนธุรกิจเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอเรนซี สกุลบิทคอยน์ มูลค่าเกือบ 800 ล้านบาท เบื้องต้นตำรวจขออนุมัติศาลออกหมายจับนายปริญญา จารวิจิต อายุ 35 ปี น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต อายุ 32 ปี และนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม จารวิจิต อายุ 27 ปี นักแสดงชื่อดังที่มีเส้นทางการเงินเกี่ยวพันกัน หลังจากนั้นเดินทางไปจับกุม บูม-จิรัชพิสิษฐ์ ขณะถ่ายละครย่านรัชโยธิน ต่อมา น.ส.สุพิชฌาย์เข้ามอบตัว ให้การว่าพี่ชายคือนายปริญญาที่หนีไปต่างประเทศเป็นตัวการทั้งหมด จากการสืบสวนยังพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องอีก 8 คน ตำรวจออกหมายเรียกหมดแล้ว มีทั้งนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เจ้าพ่อตลาดหุ้นไทย นายธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตนายทหารคนดัง และพ่อแม่ของบูม-จิรัชพิสิษฐ์ ให้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนกองปราบฯในวันที่ 27-29 ส.ค.นี้ ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่โรงแรมดุสิตธานี นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ อดีตผู้บริหารโบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์ แอปเปิ้ล เวลล์ แถลงข่าวกรณีตกเป็นผู้ต้องสงสัยพัวพันคดีฟอกเงินและโกงบิทคอยน์มูลค่าร่วม 800 ล้านบาท นายประสิทธิ์ ยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และเป็นหนึ่งในผู้เสียหาย
...
แต่กลับตกเป็นแพะรับบาปเพราะธุรกรรมที่เกิดขึ้น ตนทำหน้าที่เป็นเพียง Deal maker หรือผู้จัดการให้ผู้ซื้อกับผู้ขายมาเจอกัน กรณีการซื้อขายหุ้นดีเอ็นเอเท่านั้น
“ได้รู้จักกับนายปริญญาผู้ต้องหาคดีนี้ เพราะนายปริญญาทักเข้ามาในหน้าเฟซบุ๊ก หลังจากไปอบรมความรู้เกี่ยวกับธุรกิจบล็อกเชน (Blockchain) มาจากสิงคโปร์ หลังจากนั้นนายปริญญาพาไปรู้จักนายเออาร์นี โมตาวา ซาริมา ชาวฟินแลนด์ และ น.ส.ชนนิกานต์ หรือแตงโม แก้วกาสี แฟนนายเออาร์นี จนกระทั่งสนิทกัน เห็นว่านายเออาร์นีเป็นคนเก่ง ฉลาดและอัจฉริยะ มีความสามารถเรื่องบล็อกเชนและคริปโต เคอร์เรนซี หรือการซื้อขายเหรียญดิจิทัลและถือเป็นคนที่มีฟิวเจอร์ แวลู (future value) ดีมาก เมื่อเจอกัน 3-4 ครั้งจึงคิดเริ่มทำธุรกิจด้วยกัน ประกอบด้วย 4 ฝ่าย ประกอบด้วยนายปริญญา นายชาคริส อาห์มัด นายเออาร์นี และตนเอง นายเออาร์นีบอกว่าจะทำธุรกิจบล็อกเชนและธุรกิจซื้อขายแลก เปลี่ยนเหรียญคริปโต คิดว่าจะทำกำไรได้ปีแรก 400-500 ล้านบาท” นายประสิทธิ์กล่าว
นายประสิทธิ์กล่าวต่อไปว่า ส่วนนายปริญญาบอกว่ารู้เรื่องบล็อกเชนดีและมีคอนเนกชันในเกาหลีและมาเก๊า มีมูลค่าคอนเนกชันเป็นหลักพันล้าน ส่วนนายชาคริสมีคอนเนกชันในยุโรป ขณะที่ น.ส.แตงโมทำงานด้านบัญชี ส่วนตนเป็นดีลเมกเกอร์มีคอนเนกชันในตลาดหุ้นไทย เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างครบ เราเลยมาฟอร์มทีมเพื่อทำธุรกิจร่วมกัน หวังจะเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นในอนาคต แต่หลังจากทำงานร่วมกันได้ไม่ถึง 4 เดือน ต.ค.-พ.ย.ปี 60 ตนและ น.ส.แตงโม เริ่มสงสัย พบความไม่โปร่งใสและความไม่ชอบมาพากล เพราะนายปริญญามีพฤติกรรมแปลกๆ มีลูกค้าที่ตนเป็นผู้ติดต่อมาโอนหุ้นดีเอ็นเอเข้ามาที่นายปริญญา แต่นายปริญญาไม่โอนเงินค่าหุ้นให้ลูกค้า ขณะที่นายเออาร์นีโอนเหรียญบิทคอยน์เป็นค่าซื้อหุ้นให้นายปริญญาแล้ว แต่นายปริญญาโอนหุ้นดีเอ็นเอให้นายเออาร์นีไม่ครบ
“จึงเรียกประชุมกัน ผมบอกให้ น.ส.แตงโมแอบอัดเทปไว้ เมื่อประชุมได้สักพัก ถามนายปริญญาจนมีปากเสียงกันทำให้วงแตก สุดท้ายผมขอยุติการร่วมงานและถูกไล่ออกจากห้องประชุม หลังจากนั้นนายเออาร์นีและ น.ส.แตงโมก็โดนไล่ออกจากห้องประชุมด้วย จึงหารือกับนายเออาร์นีว่า เราต่างได้รับความเสียหาย หุ้นเราอยู่ที่นายปริญญามูลค่า 500 ล้านบาท กลุ่มอาร์นีและแตงโมเสียหายบิทคอยน์ที่โอนให้นายปริญญาเป็นค่าซื้อหุ้น ผมก็เสียหายจากกรณีที่ลูกค้าโอนหุ้นไปให้นายปริญญา แต่ไม่ได้รับเงินค่าหุ้น” นายประสิทธิ์กล่าว
เจ้าพ่อตลาดหุ้นกล่าวต่อไปว่า จากนั้นมีผู้ใหญ่แนะนำให้เราทั้ง 3 คนมาหาผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อมาเป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ย ทำให้นายปริญญาเกรงใจยอมโอนหุ้นดีเอ็นเอส่วนที่ยังชำระค่าหุ้นไม่ครบมาฝากไว้ในชื่อผู้กองธรรมนัส 455 ล้านหุ้น อย่างไร ก็ตาม หุ้นดังกล่าวขณะนี้โดนล็อกจำนำคือ ห้ามซื้อขาย และยังไม่มีการชำระเงิน ผู้กองธรรมนัส บอกว่า ถ้าเรื่องคลี่คลายจะโอนหุ้นคืนไปยังลูกค้า ตนอยากได้หุ้นคืน น.ส.แตงโมและนายเออาร์นีก็อยากได้บิทคอยน์คืน จึงไปขอความช่วยเหลือจากผู้กอง ธรรมนัส เนื่องจากนายปริญญาส่งข้อความมาใน โทรศัพท์และอินบ็อกในเฟซบุ๊กในเชิงข่มขู่ว่า “มึงระวังอยู่ประเทศไทยไม่ได้” มันน่ากลัว เราเป็นนักธุรกิจ เราไม่ใช่นักเลง
“ส่วนเออาร์นีกับปริญญา ผมโอนหุ้นไปให้รวมกันกว่า 800 ล้านหุ้น โอนหุ้นให้นายเออาร์นี เมื่อวันที่ 3 พ.ย.60 จำนวน 185 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.23 บาท และวันที่ 17 พ.ย.60 โอนหุ้นดีเอ็นเอไปอีก 160 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.50 บาท มีเอกสารลงนามทั้งผู้ซื้อและผู้ขายครบ ส่วนปริญญาผมโอนหุ้นให้ครบแต่เขายังชำระเงินค่าหุ้นไม่ครบ ผมต้องขอโทษผู้กองธรรมนัส เพราะเป็นคนกลางมาช่วยไกล่เกลี่ย มาช่วยตรงที่เอาหุ้นจากนายปริญญามาคืนไว้ตรงกลาง ส่วนกรณีตำรวจบุกบ้าน ตำรวจเขามาดี พูดคุยกันตามปกติ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 60 ตำรวจมาหาตนเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งเกิด” นายประสิทธิ์กล่าว
...
ผู้สื่อข่าวถามว่า คุณหญิง ส.อดีตนักการเมืองเกี่ยวข้องอย่างไร นายประสิทธิ์กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องเลย เรามีความสัมพันธ์เฉพาะเรื่องการทำบุญเท่านั้น ผู้สื่อข่าวถามว่านายประสิทธิ์เกี่ยวข้องกับการซื้อขายดราก้อน คอยน์ ที่นายเออาร์นีถูกฉ้อโกงจากกรณีนี้ด้วยหรือไม่ เพราะนายประสิทธิ์เคยพาผู้สื่อข่าวตลาดทุนไปโรดโชว์เหรียญดราก้อน คอยน์ ที่ฮ่องกงและมาเก๊า นายประสิทธิ์ไม่ตอบ โยนให้ไปถามนายชาคริส อาห์มัด เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง
ด้านการสอบสวนดำเนินคดีที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้าคดีโกงเงินบิทคอยน์ว่า ขณะนี้ คณะพนักงานสอบสวนกำลังเร่งตรวจสอบและขยายผลเส้นทางการเงินของแต่ละบุคคล ที่มีรายชื่อเกี่ยวพันทั้งในส่วนของการโอนหุ้นและการโอนเงินไปยังธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ส่วนกรณีที่นายประสิทธิ์ ศรี-สุวรรณ ระบุในการแถลงข่าววันนี้ว่า นายปริญญา จารวิจิต โอนหุ้นของบริษัทดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) กว่า 455 ล้านหุ้นให้กับนายธรรมนัส พรหมเผ่า หรือผู้กองมนัสนั้น พนักงานสอบสวนจะตรวจสอบว่า หุ้นดังกล่าวได้มาระหว่างการกระทำผิดหรือไม่ หากพบว่าได้มาจากการกระทำความผิด อาจต้องแจ้งข้อหาดำเนินคดีด้วย ส่วนจะเป็นข้อหาอะไรต้องสอบปากคำนายธรรมนัสและผู้เกี่ยวข้องก่อน
“ส่วนของการเรียกสอบพนักงานธนาคารกสิกร ไทยสาขารัชโยธิน ที่อาจจะมีส่วนรู้เห็นในการโอนเงิน 30 ล้านบาทเข้าบัญชีของมารดานายปริญญานั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการขอเอกสารทางการเงินจากธนาคาร หากได้เอกสารมาแล้วจะพิจารณาก่อนเรียกพนักงานธนาคารคนดังกล่าวมาสอบปากคำเพื่อหาความเชื่อมโยงต่อไป” พ.ต.อ.ชาคริตกล่าว
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในสัปดาห์นี้คณะพนักงานสอบสวนจะยังไม่เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ โดยจะเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาและสอบปากคำภายในสัปดาห์หน้า วันที่ 27 ส.ค. จะเรียกนางเลิศฉัตรกมล และนายสุวิทย์ จารวิจิตร พ่อแม่ของพี่น้องตระกูลจารวิจิต ที่รับโอนเงินเข้าบัญชีรวม 90 ล้านบาท มาสอบปากคำที่กองปราบปราม ส่วนวันที่ 27-29 ส.ค.จะเรียกนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม ดารานักแสดงหนุ่ม นายปริญญา จารวิจิต พี่ชายของนายบูม ที่ตำรวจแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงินไปแล้วก่อนหน้านี้ นายธนสิทธิ์ จารวิจิต น้องชายของนายปริญญา นายชาคริส อาห์มัด ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทเอ็กเปย์ จำกัด และนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เจ้าพ่อตลาดหุ้นเมืองไทยมารับทราบข้อกล่าวหา รวมทั้งนายธรรมนัสด้วย ทั้งนี้ กรณีนายปริญญาที่หลบหนีอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หากไม่มารับทราบข้อกล่าวหาพนักงานสอบสวนจะดำเนินการออกหมายจับต่อไป
...