อดีตพระธงชัยเครียดหนักตร.รุกสอบวัดงบเกิน1ล้านกลุ่มพุทธฯจ่อฟัน ‘พงศ์พร’

“พระเมธีสุทธิกร”ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯมอบตัวกองปราบฯ หลัง ถูกออกหมายจับคดีเงินทอนวัด แจ้งข้อหาฟอกเงินและทุจริตประเด็นขอสนับสนุนเงินเปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรม 10 ล้านบาท แต่ไม่ได้เปิด แถมจ่ายแคชเชียร์เช็คให้ฆราวาสไปเบิกเงินออกมาจนหมด หลังสอบเครียด 5 ชม. ปฏิเสธ ส่งศาลฝากขังทันที ศาลไม่ให้ประกันต้องถอดจีวรเข้าเรือนจำ ขณะที่ตำรวจ ปปป.ยังเดินหน้าตรวจสอบเงินทอนทั่วประเทศ งบเกิน 1 ล้านบาทโดนหมด ยินดี ป.ป.ช.ส่งสำนวนคืนให้ฟ้องเอง ทำให้คดีรวดเร็วขึ้น ผบ.เรือนจำกรุงเทพฯเผยอดีตพระธงชัยเครียด พระ-ลูกศิษย์แห่เยี่ยมจำนวนมาก กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินจ่อฟ้อง “พงศ์พร” ข้อหาร้องทุกข์มิชอบ แถมร้องกฤษฎีกาตีความประเด็นตำรวจ-ศาล บังคับพระสึก “ป.อ.ปยุตฺโต” เทศน์ให้ใช้ปัญญาจัดการปัญหา อย่ามัวโศกเศร้าเสียใจ ให้อยู่ในความสงบ หนักแน่น “วิษณุ” รับเคยได้ยินเรื่องซื้อขายตำแหน่งวงการสงฆ์มาเยอะ แต่จริงไม่จริงไม่รู้

กรณีตำรวจลุยตรวจสอบการทุจริตเงินทอนวัด พบหลักฐานการทุจริตงบอุดหนุน 3 ประเภทคือ 1.เงินอุดหนุนบูรณะปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด 2.เงินอุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ 3.เงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แผนกธรรม และแผนกบาลี มีผู้เกี่ยวข้องเข้าข่ายความผิดหลายระดับ รวมทั้งอดีต ผอ.พศ. เจ้าหน้าที่ พศ. และพระหลายรูป ซุ่มขออนุมัติศาลออกหมายจับพระผู้ใหญ่ บุกจับกุมพระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศวรมหาวิหาร พระครูสิริวิหารการ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และพระอรรถกิจโสภณ เลขาฯ เจ้าคณะกรุงเทพฯ วัดสามพระยาฯ ทำการสึกก่อนส่งตัวเข้าเรือนจำพร้อมฆราวาสร่วมขบวนการอีก 3 คน ส่วนพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามเจ้าคณะภาค 4-7 ที่ถูกออกหมายจับด้วยยังตามตัวไม่พบ ในวันเดียวกันคอมมานโดกองปราบยังบุกจับกุมพระพุทธะอิสระ ตามหมายจับข้อหาปลอมพระปรมาภิไธย และทำร้ายร่างกายตำรวจสันติบาลในเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปี 2557 จับสึกส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเช่นกัน

...

งบเกินล้าน ตร.ปปป.ลุยสอบหมด

ความคืบหน้าจากโรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 09.30 น. เมื่อวันที่ 31 พ.ค. พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เผยถึงคดีเงินทอนวัดลอตที่ 4 ว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวน บก. ปปป. กำลังดำเนินการตรวจสอบวัดทั่วประเทศอยู่ ตรวจสอบวัดที่ได้งบประมาณช่วงปี 2555-2559 งบเกิน 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ตรวจสอบไปกี่วัดแล้วและพบทุจริตกี่วัด ต้องรอให้ข้อมูลชัดเจนมากกว่านี้ หลังจากนั้นจะนำสำนวนให้ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) ตรวจสอบ หากสำนวนสมบูรณ์ ผอ.พศ.จะมาร้องทุกข์กล่าวโทษทันที ส่วนกรณี ป.ป.ช.ส่งสำนวนเงินทอนวัด 3 ชุดแรกคืนให้ บก.ปปป.ดำเนินการเอง ต้องขอบคุณ ป.ป.ช.ที่ให้ความสำคัญมอบหมายให้นำสำนวนส่งฟ้องอัยการเองได้เลย ตาม ป.วิ.อาญา

ป.ป.ช.คืนสำนวนเพื่อความรวดเร็ว

รายงานข่าวแจ้งว่า คดีเงินทอนวัดลอต 3 ที่พนักงานสอบสวน บก.ปปป.ส่งสำนวนคดีกล่าวหา นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ.กับพวกทุจริตเงินงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ให้งบประมาณ 10 วัดจำนวน 11 คดี บก.ปปป.ส่งสำนวน 3 ชุดแรกเมื่อวันที่ 11 เม.ย.61 ดำเนินคดี 3 วัด 4 คดี และส่งสำนวนลอต 3 ชุดสองให้ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 23 เม.ย.61 ดำเนินคดี 7 วัด 7 คดี กระทั่งเมื่อวันที่ 30 พ.ค. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฐานะโฆษก ป.ป.ช.แถลงข่าว ป.ป.ช.มีมติส่งสำนวนคดีเงินทอนวัด 3 ลอตแรกคืนให้ บก.ปปป.ดำเนินการส่งฟ้องอัยการในคดีอาญา เพื่อรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

“พระเมธีสุทธิกร” มอบตัวกองปราบฯ

ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 10.30 น. พระเมธีสุทธิกร หรือสังคม สังฆะพัฒน์ อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พร้อมทนายความเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบช.ก. พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป. หลังถูกศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางออกหมายจับ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัด ความผิดข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน หลังก่อนหน้านี้ประสานนัดหมายเข้ามอบตัวมาแล้ว

ถูกสอบเครียด 5 ชม.ให้การปฏิเสธ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่เดินทางถึงกองปราบปราม พระเมธีสุทธิกรใช้บันไดด้านข้างเดินขึ้นไปในอาคาร เพื่อหลีกเลี่ยงกองทัพสื่อมวลชนทุกแขนงที่เฝ้ารอทำข่าว หลังเข้าพบคณะพนักงานสอบสวนถูกถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ แจ้งข้อกล่าวหา ทำประวัติ จากนั้นแพทย์ รพ.ตำรวจ เข้าตรวจร่างกายตามขั้นตอนการสอบสวน หลังจากนั้นถูกสอบปากคำอย่างเคร่งเครียดนานร่วม 5 ชั่วโมง เพื่อซักถามข้อสงสัยประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับพฤติการณ์และเรื่องราวทางคดี แต่พระเมธีสุทธิกรยังคงให้การปฏิเสธ จากนั้นเวลาประมาณ 14.45 น. พ.ต.อ.ชาคริต พร้อมคณะพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ป.คุมตัวไปขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางฝากขังโดยไม่ให้ข้อมูลใดๆกับสื่อมวลชน

ร่วมเจ้าคุณเทอดโอนเงิน 10 ล้าน

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับมูลเหตุสำคัญที่ทำให้พระเมธีสุทธิกร ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับเพิ่มเติมรายใหม่ในคดีหลังถูกถอดสมณศักดิ์ไปแล้วนั้น เนื่องจากแนวทางการสืบสวนพบหลักฐานว่า พระเมธีสุทธิกรร่วมกับเจ้าหน้าที่ พศ.ทุจริตเงินงบประมาณจาก พศ. ด้วยการทำเรื่องขอเงินสนับสนุนจัดทำโครงการโรงเรียนพระปริยัติธรรมจำนวน 10 ล้านบาท เมื่อ พศ.โอนเงินสนับสนุนโครงการเข้ามาที่วัด พระเมธีสุทธิกรและอดีตพระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้เป็นผู้ที่มีอำนาจบริหารจัดการเงินเบิกจ่ายวัด กลับร่วมกันยักยอกถ่ายเทเงินดังกล่าว ไม่ได้นำเงินเหล่านี้ไปทำโครงการโรงเรียนพระปริยัติธรรม นอกจากนี้ ยังพบว่าสั่งจ่ายเงินดังกล่าวออกเป็นแคชเชียร์เช็คให้นายทวิช สังข์อยู่ เจ้าหน้าที่วัดสระเกศฯที่ถูกจับแล้วเบิกเงินออกมา ครั้งละ 1.8 ถึง 1.9 ล้านบาทไม่ให้เกิน 2 ล้านบาท ป้องกันการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐจนหมด ประเด็นนี้กำลังตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียด เพื่อหา ความเชื่อมโยงว่ามีใครเกี่ยวข้องการทุจริตเงินก้อนนี้อีก เพื่อขุดรากถอนโคนให้ครบทั้งขบวนการ

...

ฝากขังข้อหาฟอกเงินและทุจริต

ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อเวลา 15.10 น. พ.ต.ท.ธนินท์รัฐ อ่วมเจริญพร พนักงานสอบสวน บก.ป. คุมตัวพระเมธีสุทธิกร หรือสังคม สังฆะพัฒน์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ หรืออดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ไปยื่นฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.-11 มิ.ย. เนื่องจากการสอบสวนไม่เสร็จสิ้นต้องสอบพยานอีก 10 ปาก และต้องรอตรวจประวัติผู้ต้องหาจากกองทะเบียนอาชญากร สตช.

ขอเงินเปิดโรงเรียนฯแต่ไม่ได้เปิด

คำร้องระบุว่า พศ.จัดสรรงบประมาณจำนวน 10 ล้านบาทให้วัดสระเกศฯ เข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยในชื่อวัดสระเกศฯเพื่อการพัฒนา การรับงบประมาณมาระบุเพื่อเป็นเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ แต่จากการตรวจสอบไม่มีการเปิดโรงเรียนดังกล่าว ผู้ต้องหาและอดีตพระราชกิจจาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ร่วมกันเบิกถอนเงินจากบัญชี 5 ครั้งเมื่อปี 2558 การกระทำนั้นเป็นการร่วมซุกซ่อนเงินที่ได้จากการกระทำผิดตามมูลฐานฟอกเงินที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ อดีต ผอ.พศ.กับพวกกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่โดยการทุจริต อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 157 162 โดยมีนายทวิช สังข์อยู่ ฆราวาส ซึ่งถูกฝากขังไปแล้วเมื่อวันที่ 24 พ.ค.61 ยังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เกี่ยวข้องกับบริษัทดีดีทวีคูณที่รับผลิตสื่อให้กับวัดสระเกศฯเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากนั้นด้วย

ตำรวจค้านประกันตัวเหมือนเดิม

พนักงานสอบสวนขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาลงวันที่ 30 พ.ค.2561 และวันนี้ (31 พ.ค.) เวลา 12.00 น. ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวไว้ก่อนส่งตัวฝากขัง ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวน บก.ป.ขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากยังสอบสวนรวบรวมพยานเอกสารไม่เสร็จสิ้น เกรงว่าหากปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาอาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนดำเนินคดี

...

ทนายค้านฝากขังเพราะมอบตัวเอง

กระทั่งเวลา 16.00 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคำร้องฝากขัง สอบถามพนักงานสอบสวนถึงเหตุจำเป็นของการฝากขัง พ.ต.ท.ธนินท์รัฐ แถลงยืนยันเหตุผลการฝากขังตามคำร้อง ส่วนทนายความผู้ต้องหาแถลงคัดค้านระบุว่า กรณีผู้ต้องหาเข้ามอบตัวเอง ส่วนพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนอ้างตามคำร้อง พฤติการณ์ระบุว่า พศ.จัดสรรงบประมาณให้วัดสระเกศฯ แล้วมีการถอนเงินจากบัญชีโดยกลุ่มผู้ต้องหา การรวบรวมเอกสารดังกล่าวน่าจะเสร็จสิ้นเพียงพอ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องฝากขังอีก ขณะที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ส่วนที่ทนายความแถลงคัดค้านว่า มอบตัวเอง เป็นกรณีเกี่ยวกับการประกันตัวเพื่อให้ศาลพิจารณาต่อไป ส่วนความจำเป็นของการฝากขังต้องพิจารณาว่าการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ ศาลเห็นว่าเมื่อพนักงานสอบสวนยืนยันต้องสอบพยานอีก 10 ปาก จะเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ดังนั้นกรณีนี้จึงมีเหตุจำเป็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 87 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ 2559 มาตรา 6 จึงอนุญาตให้ฝากขังตามคำร้องเป็นเวลา 12 วัน

ไม่ให้ประกันถอดจีวรเข้าเรือนจำ

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว พระเมธีสุทธิกร ผู้ต้องหาที่ศาลอนุญาตขังแล้ว ลงจากห้องพิจารณาคดีมายังห้องควบคุมชั้นใต้ดิน เพื่อรอฟังผลการขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฝากขัง ขณะที่ลูกศิษย์ซึ่งเป็นฆราวาส เตรียมหลักทรัพย์ 500,000 บาท รอยื่นประกันตัว ต่อมาเวลา 17.30 น. ศาลอาญาทุจริตฯมีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและความหนักเบาแห่งข้อหาประกอบกันแล้ว พฤติการณ์แห่งคดีความที่ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนส่งผลกระทบต่อพุทธศาสนิกชน มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ลักษณะการกระทำเป็นขบวนการ และขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวนผู้ร้องได้คัดค้านการปล่อยชั่วคราว หากอนุญาตปล่อยชั่วคราว อาจไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานและอาจหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้องและคืนหลักประกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่นำชุดขาวมาเปลี่ยนให้พระเมธีสุทธิกร ก่อนนำตัวขึ้นรถเรือนจำนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยอดีตพระดังอยู่ในท่าสงบนิ่งในชุดขาว

...

ผบ.คุกเผย อดีตพระธงชัยเครียด

ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผบ.เรือนจำฯ เผยถึงการรับตัวอดีตพระธงชัย สุขโข อายุ 60 ปี หลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางไม่ให้ประกันตัวต่อสู้คดีเงินทอนวัดว่า หลังจากรับตัวอดีตพระธงชัยเข้ามาเรือนจำฯ เมื่อเย็นวันที่ 31 พ.ค. นำตัวไปไว้ที่แดนแรกรับสำหรับผู้ต้องขังใหม่ ก่อนทำประวัติ ตรวจร่างกาย และแจ้งระเบียบที่ต้องปฏิบัติภายในเรือนจำให้ทราบเช่นเดียวกับอดีตพระเถระทั้ง 6 คนก่อนหน้านี้ อดีตพระธงชัยมีอาการเครียดบ้างเป็นปกติของผู้ต้องขังใหม่ แต่ไม่ได้มีร้องขออะไรพิเศษ ขณะที่อดีตพระพุทธะอิสระยังมีอาการปวดหลังต้องนั่งรถเข็นเป็นช่วงๆ ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้มาก ต้องทำกายภาพบำบัดโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาททุกวันวันละ 1 ชม.

ลูกศิษย์ทั้งพระและฆราวาสแห่เยี่ยม

ส่วนบรรยากาศที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯวันนี้ มีพระลูกวัดและบรรดาศิษยานุศิษย์วัดสระเกศฯ จำนวนมาก ทยอยเดินทางเข้าเยี่ยมอดีตพระธงชัย ภายหลังเข้าเยี่ยมพระลูกวัดและลูกศิษย์เดินทางกลับทันที ไม่ยินยอมให้สัมภาษณ์ ทั้งนี้ มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ขณะที่ผู้สื่อข่าวกำลังบันทึกภาพอยู่นั้น มีลูกศิษย์วัดผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาต่อว่า มาถ่ายรูปทำข่าวทำไม ก่อนพยายามตะโกนบอกลูกศิษย์วัดคนอื่นๆว่ามีนักข่าวมาถ่ายรูป จากนั้นพูดข่มขู่ว่าให้ลบรูปทั้งหมด แต่ผู้สื่อข่าวชี้แจงว่า มาทำตามหน้าที่และไม่สามารถทำตามคำขอได้ ก่อนลูกศิษย์วัดจะขึ้นรถเดินทางกลับไป

กลุ่มชาวพุทธฯยื่นเอาผิด “พงศ์พร”

ขณะที่นายจรูญ วรรณกสิณานนท์ ตัวแทนกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน เผยว่า วันที่ 1 มิ.ย. เวลา 10.00 น. จะไปยื่นเรื่องที่กองปราบปรามขอให้เอาผิด พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. กรณีแจ้งความร้องทุกข์โดยมิชอบ ส่งผลให้ตำรวจจับกุมอดีตพระชั้นผู้ใหญ่ เพราะทางกลุ่ม มองว่าข้อกล่าวหาคดีที่เกิดขึ้นยังไม่ได้พิสูจน์ กลับดำเนินการแจ้งความทำให้พระสงฆ์ต้องสละสมณเพศ ทั้งที่เรื่องเกิดจากเจ้าหน้าที่ พศ.นำงบผิดประเภทมาให้พระสงฆ์เมื่อหลายปีก่อน แต่เพิ่งมาตามเช็กบิล อีกทั้งระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2540 มาตรา 19/1 ระบุว่า ส่วนราชการต่างๆสามารถใช้งบฯร่วมกับส่วนอื่นได้ และตามประมวลกฎหมายอาญาหมวด 4 มาตรา 59 ระบุว่า บุคคลจะได้รับผิดทางอาญาต่อเมื่อกระทำโดยเจตนา กรณีที่เกิดขึ้นเชื่อว่าพระสงฆ์ท่านไม่มีเจตนา เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พศ.นำงบอะไรมาให้

ร้องกฤษฎีกาตีความบังคับสึก

“หลังจากนั้นจะไปยื่นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความด้วยว่า การที่ศาลและตำรวจดำเนินการให้พระสงฆ์สละสมณเพศทั้งที่ยังไม่มีการวินิจฉัยคดี คดียังไม่เข้าสู่ศาล เป็นการละเมิดกฎหมาย พ.ร.บ. คณะสงฆ์มาตรา 30 หรือไม่ ระบุว่า เมื่อต้องจำคุก กักขัง หรือขังพระภิกษุรูปใดตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลมีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ และให้รายงานให้ศาลทราบถึงการสละสมณเพศนั้น แต่ว่าขณะนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ ยังไม่มีการไต่สวน แต่กลับไปจับพระสึกและนำเข้าสู่ห้องขัง” นายจรูญกล่าว

รับโอนเงินแต่ไม่ได้ใช้ส่วนตัว

เมื่อถามว่า คดีที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพบหลักฐานการโอนเงินชัดเจน นายจรูญกล่าวว่า เงินที่โอนต้องพิสูจน์ก่อนว่า โอนไปทำอะไร อย่างเช่นกรณีวัดสามพระยาฯพบว่ามีการโอนไปให้ลูกศิษย์ของวัด ที่ทางวัดให้ลูกศิษย์คนนี้สำรองจ่ายค่าก่อสร้างอาคารไปก่อน ส่วนวัดสระเกศฯทราบมาว่ามีเงินจำนวนหนึ่งที่โอนให้ผู้ที่มีหน้าที่วาดภาพจิตรกรรมภายในวิหารและศาลาต่างๆภายในวัด ดังนั้น กรณีการโอนเงินไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นแค่ว่าโอน แล้วดำเนินการทางกฎหมายเลย ควรพิสูจน์ก่อนด้วย เพราะหากดำเนินการแบบนี้คงแย่กันหมดแน่ เพราะไม่มีการไต่สวนให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงเลย

“ปยุตฺโต” มองปัญหาเป็นเรื่องฝึกใจ

ขณะที่เฟซบุ๊กของพระสงฆ์ องค์กรพุทธ เผยแพร่คลิปวิดีโอ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม ที่แสดงธรรมเทศนาเนื่องในวันวิสาขบูชาเมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่อุโบสถวัดญาณเวศกวัน พระธรรมเทศนาดังกล่าวใจความสรุปว่า เวลานี้มีเหตุการณ์ที่เป็นข่าวในวงการพระสงฆ์อาจทำให้ญาติโยมไม่สบายใจ แล้วข้องจิตขัดใจอยู่ ทำให้ขัดขวางแม้แต่การฟังธรรมด้วย เรื่องเหตุการณ์ความไม่ดีไม่งามอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในวงการพระสงฆ์นี้ เป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชนจะต้องรู้ เข้าใจ แล้วปฏิบัติกับมันให้ถูกต้อง ว่าที่จริงแล้วถือว่ามันเป็นปัญหา ปัญหานั้นถือเป็นเรื่องที่ต้องฝึกใจ เป็นเรื่องลับปัญญา ฉะนั้น เราใช้ให้เป็น แทนที่จะให้มันทำร้ายเรา กลับมาใช้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นจะต้องเริ่มวางตัววางใจต่อปัญหา เรื่องเลวร้าย เหตุการณ์ไม่ดีนี้ให้ถูกต้อง

ใช้ปัญญาจัดการปัญหา

อย่างเรื่องของปัญหาในวงการพระสงฆ์ เริ่มต้นรักษาใจของเราไว้ก่อนคือ ให้สงบ หนักแน่น มั่นคง ไม่ถูกกระทบกระแทก แล้วยกเรื่องให้ปัญญาจัดการ ปัญหานั้นเป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เรื่องของจิตใจ ไม่ใช่เอาใจเข้าไปยุ่งกับปัญหากับความทุกข์ จะทำให้ใจวุ่นวาย ปัญหานั้นต้องจัดการด้วยปัญญา ดังนั้น ใจต้องรักษาให้เป็นปกติให้ดี จะได้ใช้ใจนั้นทำงานของปัญญา และตัวปัญญาเป็นตัวจัดการปัญหา แล้วถ้าที่ทำงานของปัญญาคือ จิตใจไม่ดี ปัญญาก็เสียโอกาสในการทำงาน จึงเป็นหลักการสำคัญที่ว่าเมื่อเกิดปัญหา เกิดเรื่องราวร้าย ต้องรักษาใจให้ได้ ใจอยู่ในสภาพที่มั่นคง หนักแน่น สงบจะแก้ไขปัญหาได้ อย่ามัวไปโศกเศร้าเสียใจ ให้อยู่ในความสงบ หนักแน่น แล้วให้ใจเป็นที่ทำงานใหญ่ เป็นที่ทำงานที่มีคุณภาพ สำหรับให้ปัญญามาทำงานอย่างได้ผล

“วิษณุ” ชิ่งไม่แสดงความคิดเห็น

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดำเนินคดีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ว่า ไม่ขอแสดงความคิดเห็น ไม่ทราบจะมีการดำเนินคดีกับพระผู้ใหญ่เกี่ยวกับคดีเงินทอนวัดอีกหรือไม่ เพราะไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้ ต้องไปถามนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคงต้องไปถามนายกรัฐมนตรีเองว่า เป็นกังวลว่าเรื่องนี้จะบานปลายหรือไม่ ส่วนข่าวการซื้อขายตำแหน่งวงการสงฆ์ส่วนตัวไม่ได้ตกใจ เพราะเคยได้ยินข่าวมาเยอะ แต่จริงหรือไม่จริงไม่รู้ จะเอาสิ่งที่ได้ยินมาแบบนี้เป็นสาระไม่ได้ เพราะสิ่งที่ได้ยินก็เว่อร์เกินไป

แนะยึดพระรัตนตรัยแล้วสบายใจ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากนี้ไปการเข้าวัดของประชาชน หรือตัวท่านเองจะสนิทใจหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่าไปยึดอย่างอื่น ให้ยึดพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แค่นี้จบสบายใจ ส่วนบั้นปลายชีวิตจะบวชหรือไม่ยังไม่ทราบ ของอย่างนี้อยู่ที่บุญวาสนา บางคนบวชเพราะต้องการเอาผ้าเหลืองเป็นที่พึ่ง เพื่อให้อยู่รอดปลอดภัย เมื่อถามว่าแต่ตอนนี้พระหลายรูปเปลี่ยนสถานะไปแล้วจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ รองนายกฯกล่าวว่า ไม่รู้ เมื่อถามว่าเคยบอกจะจัดระเบียบพุทธพาณิชย์ นายวิษณุกล่าวว่า เอาไว้ก่อน รอให้มีความชัดเจนก่อนแล้วค่อยพูดกัน