ผู้จัดการเก่า ฟ้อง 'ลำไย-ประจักษ์ชัย' ค่ายไหทองคำ ฐานละเมิดสัญญานักร้องนักแสดงสัญญา 5 ปี ผลเจรจาไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ ปัด ไม่จ่าย 3 ล้านบาท อ้าง เรียกค่าเสียหายสูงเกินไป

วันที่ 18 พ.ค. ที่ห้องไกล่เกลี่ย 3 ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ (น.ส.วนิดา จุลพาณิชยกรรม ผู้พิพากษาสมทบ) ผู้ประนีประนอม ได้นัดคู่ความในคดีหมายเลขดำที่ อ.710/2560 คดีไกล่เกลี่ยหมายเลขดำที่ กก. 5/2561 ระหว่าง นายณรงค์วัฒน์ หรือ บ่าวเอก ยันตะพันธ์ อดีตผู้จัดการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.สุพรรณษา เวชกามา หรือ ลำไย ไหทองคำ จำเลยที่ 1 และ นายประจักษ์ชัย เนาวรัตน์ ผู้จัดการและผู้บริหารไหทองคำ จำเลยที่ 2 เรื่องความผิดต่อ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ละเมิดสัญญานักแสดง ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 60

โดยในวันนี้ ฝ่ายโจทก์นายณรงค์วัฒน์ เดินทางมาศาลพร้อมนายชาย ไชยคำ หรือ ชาย เสรภูมิ และนายธนดล ธรณ์ธนากุล ทนายความ ส่วนฝ่ายจำเลยมอบอำนาจให้ น.ส.โยษิตา เนาวรัตน์ ผู้จัดการส่วนตัว และทนายความมาแทน โดยจำเลยทั้งสอง ลำไย และ นายประจักษ์ชัยไม่มาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

...

ทั้งนี้ การไกล่เกลี่ยครั้งก่อน เมื่อ 26 เม.ย ที่ผ่านมา ฝ่ายจำเลยทั้งสองแจ้งว่า ติดภารกิจไม่สามารถมาร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยได้ ในวันนั้นใช้เวลาเจรจากัน 1 ชม. ได้ข้อสรุปว่า ฝ่ายโจทก์เสนอข้อเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนหนึ่ง และโจทก์จะยกเลิกสัญญานักร้องนักแสดงที่ทำไว้กับ น.ส.สุพรรษา เมื่อ 12 ส.ค.2557 ทาง น.ส.โยษิตา ตัวแทนรับมอบอำนาจของจำเลยทั้งสอง รับข้อเสนอไปปรึกษากับจำเลยทั้งสองเพื่อตัดสินใจ

สำหรับวันนี้เป็นการเจรจาครั้งที่ 3 ใช้เวลานาน 1 ชม. ผลสรุปทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ พร้อมกับขอให้ส่งสำนวนคดีสู่ศาล ผู้ประนีประนอมเห็นว่า เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ จึงเห็นควรให้ส่งสำนวนคดีคืนสู่ศาลเพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไป โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยได้สอบถามทั้งสองฝ่ายนัดพร้อมในวันที่ 25 มิ.ย.2561 เวลา 09.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับค่าเสียหายที่ฝ่ายโจทก์เรียกร้องลำไยและผู้จัดการไปเป็นเงินจำนวน 3,000,000 บาท (สามล้านบาทถ้วน) โดยทางตัวแทนจำเลยแจ้งว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงเกินไป ทำให้การเจรจาตกลงกันไม่ได้ คดีนี้จึงต้องส่งสำนวนกลับไปที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเพื่อดำเนินการพิจารณาตามปกติต่อไป

นายณรงค์วัฒน์ หรือ บ่าวเอก อดีตผู้จัดการลำไย กล่าวว่า วันนี้นัดสรุปไกล่เกลี่ยระหว่างตนกับคู่ความทั้งสองคน ต่างฝ่ายต่างตกลงกันไม่ได้ ศาลได้นัดพร้อมทั้งสองฝ่ายอีกครั้งวันที่ 25 มิ.ย.เวลา 09.00 น. สำหรับคดีนี้ตนได้มาขอพึ่งอำนาจศาลทรัพย์สินฯ ยื่นฟ้องตัวน้องลำไย และผู้จัดการคนปัจจุบัน ทั้งนี้ คู่กรณีก่อนจะมาออกผลงานเพลง “ผู้สาวขาเลาะ“ ได้มีการทำสัญญากับตนไว้ มีกำหนดระยะเวลานาน 5 ปี (12 ส.ค.2557 ถึง 12 ส.ค.2562) ซึ่งสัญญายังมีผลบังคับ ไม่มีการยกเลิก

นายณรงค์วัฒน์ เล่าย้อนที่มาของเรื่องราวที่ต้องมาฟ้องศาลฯ ว่า “ปีแรกที่น้องเขาอยู่กับตนได้ผลิตผลงานออกมา 2 ซิงเกิลใหม่ ใช้ชื่อในการแสดงว่า “หอยแครง แสงตะวัน” และนำเพลงเก่าของศิลปินรายอื่นมาร้องด้วย ครั้งแรกที่ตนไปพบเห็นน้องเขาแดนซ์บนเวทีงานวัดแห่งหนึ่ง เห็นหน่วยก้านดีน่าจะมีแวว เขายังไม่มีสังกัด ดูใจกันมาพักหนึ่ง ก่อนจะพูดคุยกับพรรคพวกนักปั้นด้วยกันหลายคน สุดท้ายจึงตกลงมาเซ็นสัญญาให้ตนดูแล มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ขณะนั้นน้องเขามีอายุราวๆ 14-15 ปีได้ มีคุณแม่และตัวน้องเขาร่วมเซ็นสัญญากัน มีพยานรู้เห็น คนในวงการรับรู้รับทราบกันทั่วไป

น้องเขาอยู่กันตนได้ประมาณ 1 ปีเศษ ระยะแรกนั้นยอมรับว่ายังไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง น้องเขาต้องเรียนนาฏศิลป์ไปด้วย ส่งผลให้การรับงานแสดงได้เฉพาะวันศุกร์และวันเสาร์ ก่อนคุณแม่เขาจะโพสต์เฟซฯ ว่า น้องเรียนหนักจะขอหยุดการร้องเพลง ตนเห็นว่าการเรียนสำคัญสำหรับอนาคตเขา เรื่องเรียนจะต้องมาก่อน แม้เราจะต้องทำธุรกิจปั้นนักร้องก็ต้องปฏิเสธการรับงาน ทำให้งานแสดงน้อยลง ทำให้รายได้ต้องน้อยลงตามไปด้วย แต่ตนก็ยังต้องเดินทางโปรโมตต่อไป เอาซิงเกิลไปแจกตามสถานีวิทยุ มีการรับงานแต่น้อยลงไปมาก

มารู้อีกทีเพื่อนส่งคลิปมาให้ดูเห็นว่าเด็กของเราไปร้องอยู่ค่ายอื่น โดยใช้ชื่อลำไย ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่เป็นไร สามารถพูดคุยกันได้ จึงประสานผ่านเพื่อนๆ และผู้ใหญ่ในวงการขอให้มาเคลียร์กัน ว่าทำไมไปแสดงใช้ชื่ออื่น ทำไมไปจดสัญญาซ้อน การย้ายค่ายหรือการเปลี่ยนชื่อนักแสดงสำหรับตนถือเป็นเรื่องเล็กมาก แต่น่าจะเข้ามาพูดคุยกัน นี่กลับไม่บอก ไม่ติดต่ออะไรตนเลย อยู่ๆ ก็ทิ้งกันไปเฉยๆ เลยเมื่อติดต่อไม่ได้ สื่อสารกันไม่ได้ จึงเลยทำให้มาถึงวันนี้ที่ตนต้องมาขอพึ่งอำนาจศาล

ตนพยายามติดต่อนะ มีคนถามว่าทำไมตนไม่ไปหาเขาที่เวทีที่น้องเขาเปิดแสดงเลย ตนคิดว่ามันไม่ถึงขั้นที่เราจะต้องไปหาเขา เขาควรที่จะเข้ามาพูดคุยกับตนมากกว่า ถ้าจะให้ตนไปตามหาพบตัวเขาจริงๆ ตนทำได้ แต่คิดว่าไม่ถึงขั้นที่ตนจะต้องลงทุนไปทำถึงขนาดนั้น

...

ต่อข้อถามที่มีข่าวออกมาว่า ฝ่ายจำเลยบอกว่า สัญญาดังกล่าวเป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว ไม่มีความหมาย นายณรงค์วัฒน์ กล่าวว่า คำว่าสัญญาก็คือสัญญา จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าคุณไม่ยอมทำตามข้อสัญญา ก็น่าจะเข้าข่ายโกง หัวหมอ การที่คุณพูดแบบนั้นแสดงว่า คุณรู้อยู่แล้วว่าคุณมีสัญญา อย่ามาหาช่องออกหาว่าสัญญาไม่รัดกุม แบบนั้นคุณใช้ไม่ได้ ไม่ละอายใจบ้างเหรอ ตอนที่คุณยังไม่เก่ง ไม่มีใครเอาคุณ ตอนที่คุณมาแบบเด็กๆ อยู่ ทำไมค่ายนั้นไม่มาเอา มีกี่คนที่อยากมาปั้นเด็กที่ยังไม่เป็น เด็กอยากเป็นนักร้อง อยากมีซิงเกิล เราก็ให้โอกาส พออยู่กับเราเมื่อบินแข็งแล้วไป มาอ้างว่าดูสัญญาแล้วมีช่องโหว่ไปได้ แบบนี้มันใช้ไม่ได้ แต่ถึงวันหนึ่งศาลตัดสินแล้วคุณชนะโดยที่สัญญาตนไม่รัดกุม ตนก็จะยอมรับ แต่ถ้าตัดสินออกมาว่า สัญญาผมสมบูรณ์เป็นฝ่ายชนะ คุณก็ต้องรับผิดชอบ ถึงแม้คุณจะแพ้หรือชนะ คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณได้มาเซ็นสัญญากับผม คนเราต้องมีจิตสำนึก มีความรับผิดชอบ

ตนยื่นฟ้องคดีนี้มาตั้งแต่ ก.ย.ปีที่แล้ว สุดท้ายทางคู่กรณีขอไกล่เกลี่ย ตนก็ไม่อยากมีปัญหา ทุกอย่างน่าจะมีทางออก พอถึงวันนัดครั้งแรกไกล่เกลี่ยก็ไม่มา ส่งทนายมาแทน ทนายก็ตัดสินใจไม่ได้ พอครั้งต่อมาก็ส่งผู้มีอำนาจมาเจรจา พอมาไกล่เกลี่ยก็ตัดสินใจไม่ได้ ขอกลับไปปรึกษากันก่อน จนมาถึงวันนี้สรุปสั้นๆ ว่า เจรจาตกลงกันไม่ได้ คดีนี้ก็จะต้องเขาสู่กระบวนการพิจารณาของศาลต่อไป.