การบุกทลายแหล่งผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอางผิดกฎหมายครั้งใหญ่ ตลอดจนการกวาดล้างแหล่งขายและกระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ของ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ผนึกกำลังกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

ถือเป็นการเปิดโปงมุมมืดและเขย่าวงการธุรกิจอาหารเสริมและเครื่องสำอางออนไลน์ที่กำลังอู้ฟู่มาแรงในช่วง 3–4 ปีมานี้ ในยุคที่ใครก็เป็นเจ้าของแบรนด์ได้ง่ายๆ แค่มีเงินหลักพันหรือหลักหมื่น ว่ากันว่าในธุรกิจนี้ แต่ละปีมีมูลค่าตลาด เงินสะพัดหมุนเวียนนับหมื่นล้านบาท!!

แม้ที่ผ่านมา อย.จะประกาศรายชื่อเครื่องสำอางและอาหารเสริมที่เป็นอันตรายออกมาเป็นระยะ แต่มักไม่ค่อยได้รับความสนใจจากประชาชนผู้บริโภค ขณะที่ อย.เองก็ไม่สามารถขุดรากถอนโคนต้นตอแหล่งผลิต ทำได้เพียงการสุ่มตรวจและประกาศรายชื่อเพื่อเตือนประชาชนเท่านั้น ผู้ผลิตก็เพียงแค่เปลี่ยนสติกเกอร์ชื่อยี่ห้อ

ก็สามารถนำกลับมาขายใหม่ได้ สินค้าอันตรายเหล่านี้จึงวางขายกันเกลื่อนตลาด!!

ที่น่าตกใจไปกว่านั้น เมื่อสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ออกมาเปิดข้อมูลว่า เครื่องสำอางและอาหารเสริมที่วางขายในตลาดมากกว่า 40% เป็นสินค้าปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยประเทศไทยมีโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐานเพียง 1,000 กว่าโรงงาน แต่ที่ไม่ได้มาตรฐานมีมากถึง 10,000 โรงงาน!!

พบทั้งการผสมและกวนกันเองในรถยนต์ หรือห้องครัวหลังบ้าน แอบสวมทะเบียน อย.ปลอม ต้นทุนถูก-ตั้งราคาสูง ใส่สารไซบูทรามีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นยาบ้าเพื่อลดความอ้วน กาแฟลดน้ำหนักบางยี่ห้อผสมไวอากร้าจากจีน หรือใส่สารปรอทในครีมเพื่อให้ผิวขาว หวังให้ผู้บริโภคใช้แล้วเห็นผลเร็ว ทั้งการโฆษณาหลอกลวงอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงสารพัด ไม่ว่าจะ “กินแล้วผอมภายใน 7 วัน” หรือ “ขาวทันทีที่ทา” ไม่เว้นแม้แต่การโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่กินแล้วทำให้ “อกฟู-รูฟิต” ซึ่งล้วนหลอกลวงและเป็นอันตรายรุนแรงทั้งสิ้น!!

...

ส.อ.ท.จึงเตรียมเสนอให้เพิ่มโทษการขายเครื่องสำอาง–อาหารเสริมปลอม ให้มีความผิดเท่ากับการขายยาปลอมซึ่งมีโทษหนักจำคุก 3–5 ปี เพราะมีอันตรายถึงชีวิต!!

การทลายและเปิดมุมมืดของธุรกิจผิดกฎหมายครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการปราบปรามชนิดขุดรากถอนโคน แฉให้เห็นความมักง่ายเห็นแก่ตัว กระชากหน้ากากผู้ผลิตที่ไร้ความรับผิดชอบ และผู้ขายทั้งรายใหญ่และรายย่อย

รวมถึงพรีเซนเตอร์ ดารา นักร้อง เน็ตไอดอล ที่สวมบทบาทเป็น “นักรีวิว” การันตีผลิตภัณฑ์ทั้งหลายแล้ว

ในส่วนประชาชนผู้บริโภคเองก็น่าจะได้ตระหนักและใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น!!

จากการสำรวจตรวจสอบความเห็นของผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางที่มีมาตรฐานในตลาด ต่างมองว่า สินค้าของตนน่าจะได้อานิสงส์ โดย “หิรัญ ตันมิตร” เจ้าของ “อีฟแอนด์บอย” เผยว่า ตั้งแต่มีการกวาดล้างยอดขายในร้านขายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ประกอบกับเดือนที่ผ่านมา “อีฟแอนด์บอย” ได้จัดงาน “ไทยแบรนด์” โดยนำผลิตภัณฑ์ของคนไทยมากถึง 216 แบรนด์ มาออกงานโปรโมต ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ถูกกวาดล้างส่วนใหญ่เป็นการขายผ่านเครือข่าย

ที่ลูกข่ายหรือตัวแทนจำหน่าย มักไม่ยอมให้นำสินค้าเข้ามาขายในร้านโมเดิร์นเทรด

เช่นเดียวกับ “สุวิน ไกรภูเบศ” ซีอีโอ บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ เจ้าของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว “บิวตี้ บุฟเฟต์” บอกว่า

สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการที่มีเจตนาหลอกลวงผู้บริโภคหมดไปจากตลาด และส่งผลดีต่อผู้ที่ทำถูกต้อง และยังกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมเลือกซื้อสินค้าที่น่าเชื่อถือ จึงทำให้สินค้าของบริษัทได้อานิสงส์ไปด้วย โดย “บิวตี้” เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ทุกผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคดีอยู่แล้ว

ขณะที่ “สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์” ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง บมจ.ดู เดย์ ดรีม ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว “สเนลไวท์” บอกว่า ผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือผู้บริโภค ที่สินค้าอันตรายผิดกฎหมายจะหมดไป ขณะเดียวกันก็จะทำให้สินค้าดีมีคุณภาพและทำทุกอย่างถูกต้อง มีโอกาสเข้าไปแทนที่ตลาดนี้มากขึ้น ในฐานะที่ “สเนลไวท์” เป็นแบรนด์ไทยที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ เห็นว่าทุกอย่างต้องทำถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มต้นทั้งโรงงานผลิต การขออนุญาต อย. การโฆษณา รวมทั้งการทำระบบบัญชีและภาษี หากหวังจะอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน “สราวุฒิ” ทิ้งท้าย

ถือเป็นมุมมองที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งหวัง ผลักดันให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย จากปัจจุบันที่เป็นรองญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และตั้งเป้าให้ไทยมีมูลค่าส่งออกติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก จากปัจจุบัน อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยมีมูลค่าการค้าปีละกว่า 210,000 ล้านบาท เป็นการขายในประเทศถึง 120,000 ล้านหรือ 60% และส่งออกอีกราว 90,000 ล้านบาท!!

การกวาดล้างผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายในครั้งนี้ จึงถือเป็นการแผ้วถางทางให้ภาพลักษณ์มาตรฐานสินค้าไทยได้การยอมรับในตลาดเครื่องสำอางโลกมากยิ่งขึ้นด้วย!!

วณิชยา แสงทอง