วงเสวนา แฉคดี "ค้ามนุษย์น้ำเพียงดิน" รากเหง้าเฒ่าหัวงูบริโภคเด็ก จี้ รัฐสร้างบรรทัดฐานจัดการปัญหา ให้กำลังใจเหยื่อเด็กสาว นำคนผิดมาลงโทษเด็ดขาด
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่โรงแรมเอบิน่าเฮาส์ ในเวทีเสวนา “ถอดบทเรียนค้ามนุษย์น้ำเพียงดิน มองถึงเทียร์ 2 (เฝ้าระวัง) ประเทศไทย” จัดโดยโครงการปกป้องเด็กและเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิพิทักษ์สตรี แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก
นางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน ผอ.ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ปีที่แล้วเด็กสาวที่น้ำเพียงดิน จ.แม่ฮ่องสอน ถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมด ระหว่างการดำเนินคดีซึ่งภาคประชาสังคมเอ็นจีโอ ได้เข้าไปคุ้มครองช่วยเหลือเด็กในฐานะพยาน พบข้อมูลทางลับของจำเลยผู้เกี่ยวข้องที่มีอำนาจ มีอิทธิพล มีระบบอุปถัมภ์ ที่บิดเบือนช่วยเหลือปกป้องในเจ้าหน้าที่รัฐด้วยกันเอง รวมไปถึงกระบวนการฟอกเงิน แต่ต้องชื่นชมและให้กำลังใจเด็กสาวผู้ตกเป็นเหยื่อทั้ง 3 คนที่พยายามต่อสู้เผชิญกับสิ่งต่างๆ รวมถึงแรงเสียดทานของคนในพื้นที่ที่กล่าวหาว่าทำให้จังหวัดเสื่อมเสีย
กระทั่งเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นได้ตัดสินคดีดังกล่าวในคดีแรกข้อหาเป็นธุระจัดหาเด็กต่ำกว่า 18 ปี มีจำเลยทั้งหมด 8 คน ต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 8 ปี ไปจนถึง 320 ปี จึงเป็นแสงสว่างที่ไม่อยากให้สว่างชั่วคราวแล้วดับ แต่ต้องนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายรัฐที่จะต้องส่งเสริมพลังการป้องกันและแก้ไข รวมถึงกลไกการคุ้มครองพยาน และชดเชยค่าเสียโอกาสที่รัฐต้องเยียวยาในระยะยาว แม้ขณะนี้ยังต้องต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ ฎีกา รวมถึงยังต้องดำเนินต่อในคดีข้อหาพรากผู้เยาว์ และสมคบร่วมกันค้ามนุษย์ และคดีการเอาผิดกับผู้ซื้อบริการ จึงอยากให้ทุกคนร่วมส่งกำลังใจให้เด็กหญิงผู้เสียหายในคดีนี้นำคนผิดมารับโทษถึงที่สุด
...
นางทิชา กล่าวด้วยว่า คดีนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงคดีค้ามนุษย์ที่มีรากเหง้ามาจากการเลี้ยงดูปูเสื่อ การมีผู้ใหญ่ เฒ่าหัวงูที่ยังบริโภคเด็ก ขณะที่เด็กสาวก็ถูกครอบงำด้วยทุนนิยมสามานย์ ส่วนหนึ่งอาจจะไม่ได้ถูกบ่มเพาะตามค่านิยมไทย จึงถูกบ่มทำลายด้วยความรู้ไม่เท่าทัน เมื่อผู้ใหญ่เห็นจุดอ่อนความอยากมีอยากได้ของเด็ก จึงนำสิ่งที่เด็กมีในร่างกายไปแสวงหาผลประโยชน์ ตอบสนองกามารมณ์ หากรัฐไม่มีนโยบายสร้างบรรทัดฐานจัดการปัญหาเหล่านี้ที่ชัดเจน เราก็จะพบเด็กสาวตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์โผล่จังหวัดต่างๆ ที่เชื่อยังเป็นค่านิยมหนึ่งในสังคมไทยที่มีอยู่ในทุกจังหวัด
ด้าน นางนัยนา สุภาพึ่ง อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า อีกประเด็นที่ต้องผลักดันคือผู้ซื้อบริการเด็กต้องถูกลงโทษ จะต้องถูกฟ้องเป็นจำเลย เพื่อทำให้เห็นว่า ผู้ใหญ่ต้องมีเมตตา หากเด็กหลงทาง ผู้ใหญ่ต้องนำเด็กเข้ามาสู่ทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ผลักให้ออกนอกทางหรือหลงทาง
ส่วน พ.ต.อ.เผด็จ ภู่บุบผากาญจน ผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคมมีส่วนสำคัญในการต่อสู้และป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ รวมถึงการทำให้ผู้เสียหายหนักแน่นและรักษาความจริงให้ปรากฏ ขณะเดียวกันครอบครัวมีส่วนสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งป้องกันปัญหาต่างๆ