จัดได้ว่าเป็นอีก 1 นายตำรวจยอดนักสืบ ฝีมือไม่เป็นรองใครในยุทธจักรสีกากี การันตีด้วยการปิดจ๊อบคดีดังมากมายทั่วฟ้าเมืองไทย และถึงแม้ชื่อชั้นความดังจะยังไม่เฉิดฉายออกสู่สายตาสาธารณชน แต่ผลงานจับกุมต่างๆ ถูกบันทึกไว้ชัดเจนทุกบทบาทการปฏิบัติหน้าที่ มีต้นทุนดี เป็นถึงนักเรียนบังคับบัญชา โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 34 และแต่งตั้งเป็นหัวหน้าตอน ขณะเรียน โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 50 

ด้วยบุคลิก เงียบขรึม มุ่งมั่นทำงานสานต่อเจตนารมณ์ผู้บังคับบัญชา ควบคู่ไปกับปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบ พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น จึงได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งให้เป็น ผกก.3 บก.ป. เมื่อวาระที่ผ่านมา ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน...ไทยรัฐออนไลน์ โดย Police Community รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้เปิดประวัติ ทำความรู้จัก ผู้กำกับอนาคตไกลเป็นครั้งแรก  

จากรั้วชมพู - ฟ้า สู่ นักเรียนนายร้อยสามพราน  

พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. หรือ "ผู้กำกับปู" เกิดที่ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี มีคุณพ่อเป็นพนักงานของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ผู้กำกับปู เรียนชั้นอนุบาลที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กระทั่งเรียนจบ อนุบาล 2 ก็ย้ายตามคุณพ่อ มาอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนจะเข้าเรียน ชั้นมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สอบเข้าเป็น OSK รุ่น 110

พี่สอบเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 34 นักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 50 ขณะที่ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเตรียมทหาร ก็ได้รับมอบหมายให้เป็น นักเรียนบังคับบัญชา ตำแหน่งหัวหน้าหมวด ขณะอยู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ก็ได้รับมอบหมายให้เป็น หัวหน้าตอนหรือหัวหน้าห้อง และเป็นนักเรียนบังคับบัญชา ซึ่งโรงเรียนนายร้อยตำรวจจะเรียกว่าตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับหมวด 

...

สมองดี เรียนเก่งแต่เด็ก ครอบครัวส่งเสริมให้สอบเข้าคณะแพทย์

ตั้งแต่ยังเด็กๆ คุณพ่อจะปลูกฝังอยู่เสมอว่าโตขึ้นอยากให้พี่เป็นแพทย์ เพราะเห็นเรามีผลการเรียนดี ซึ่งในทีแรก พี่ก็ตั้งใจจะสอบเป็นแพทย์ครับ แต่พอได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ มุมมองพี่กว้างขึ้น ความคิดเริ่มหลากหลายมากขึ้น ยิ่งตอนเรียนชั้นมัธยมที่สวนกุหลาบ พี่ยอมรับเลยว่าอยากเป็นโน่นเป็นนี่หลายอย่างมาก เช่น วิศวกร นักบิน สัตวแพทย์ แต่ก็ยังไม่มีตำรวจอยู่ในความคิด

จนประมาณ ม.3 จำได้ว่า พอพี่เห็นนักเรียนเตรียมทหาร พี่ก็รู้สึกว่าดูดี ดูเท่นะ น่าสนใจ ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งก็หาได้ไม่ยาก เพราะรุ่นพี่ๆ ของโรงเรียนสวนกุหลาบฯ ก็เป็นศิษย์เก่าเตรียมทหารหลายคน พออยู่ชั้น ม.4 มารวมกลุ่มเพื่อนๆ ไปสมัครสอบกัน แต่การสมัครสอบสมัยนั้นไม่เหมือนสมัยนี้นะครับ เพราะสมัยนี้สามารถสมัครสอบได้ทุกเหล่าทัพ เพราะวันสอบคนละวันกัน

แต่สมัยที่พี่เรียน ต้องเลือกเลยว่า เราจะสมัครสอบเหล่าไหนเพราะทุกเหล่าจะสอบวันเดียวกัน มันจึงเป็นการตัดสินใจที่ยากและกดดันมาก พลาดแล้วพลาดเลย ข้อมูลทุกอย่างจะเข้ามาเต็มหัวไปหมด ทหารดีอย่างนั้น ตำรวจดีอย่างนี้ เหล่านั้นสอบยาก เหล่านี้สอบง่าย สุดท้ายก็ถามคุณพ่อครับ คุณพ่อเลยเลือกให้ครับว่า พี่ควรเป็นตำรวจ

ถนัดงานสืบสวน มีเรื่องให้เรียนรู้ไม่สิ้นสุด

พี่รับราชการตำแหน่งแรก เป็นรองสารวัตรแผนก 3 กองกำกับการ 1 กองปราบปราม แล้วก็วนเวียนอยู่ใน กองกำกับการ 1 มาตลอดเป็นเวลา 10 ปี จากนั้นก็ไปขึ้นสารวัตร ตำแหน่งสารวัตรปกครองป้องกัน สภ.วังสามหมอ อุดรธานี, สารวัตรกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริต และประพฤติมิชอบในวงราชการ

จากนั้นก็ย้ายมาเป็น สารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจนครบาล 4, สารวัตรกองกำกับการ 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล, รองผู้กำกับการ 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล, รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม, รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม แล้วก็ปัจจุบัน ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม

"งานที่พี่คิดว่าเหมาะกับผมที่สุดก็คงไม่พ้นงานสืบสวน พี่ว่ามันสนุกดีนะ มีอะไรให้คิดตลอดเวลา ไม่น่าเบื่อ ทุกวันนี้ก็ยังต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น เพราะเทคโนโลยีการสืบสวนทุกวันนี้ก้าวหน้าไปมาก"

...

ทำคดีวิสามัญฆาตกรรม ลุยจับอาชญากรรม มือปืนรายสำคัญระดับประเทศ 

สมัยที่ยังเป็นรองสารวัตร ส่วนใหญ่จะเป็นคดีเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล และมือปืนรับจ้างครับ เพราะเป็นหน้างานหลักของกองปราบปรามสมัยนั้น คดีสืบสวนที่สำคัญก็มีคดีวิสามัญ นายไพรัตน์ฯ, คดีวิสามัญนายวีระ มงคลสิน มือปืนอันดับ 1 ของตำรวจภูธร ภาค 9, คดีสารวัตรกำนันในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ถูกถล่มยิงด้วยอาวุธสงคราม

แต่คดีที่ทำให้เป็นที่รู้จักของนักสืบรุ่นหลังๆ คือคดีจับกุมแก๊งปล้น เซเว่นอีเลฟเว่นครับ ซึ่งครั้งนั้นพี่ปลอมเป็นพนักงานขายในร้านเซเว่น เพื่อดักรอกลุ่มคนร้ายมาปล้น ซึ่งคลิปการปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนั้น พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ หัวหน้าชุดจับกุมในขณะนั้น ก็ยังใช้ในการบรรยายในชั้นเรียนหลักสูตรสืบสวนต่างๆ ส่วนในปัจจุบันคดีสำคัญที่ได้รับมอบหมายก็คือ คดีสารพัดโกง เพราะเป็นความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง มีผู้เสียหายหลายคน และมีมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้ายจำนวนมาก

กองปราบทำเฉพาะคดีสำคัญระดับประเทศ 

อันดับแรกต้องเข้าใจว่า ภารกิจของตำรวจกองปราบ คือสนับสนุนการทำงานของตำรวจท้องที่ ดังนั้นเราจะเข้าไปร่วมสืบสวนกรณีที่ได้รับการร้องขอมา หรือเห็นว่าตำรวจท้องที่มีข้อจำกัดในการทำงาน นอกจากคดีที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เป็นที่น่าสนใจ และผู้บังคับบัญชาสั่งการมา เราก็จะลงไปร่วมสืบสวนทันที แต่เนื่องจากที่ตั้งของเราอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นหลัก ข้อจำกัดสำคัญของเราคือ เมื่อเกิดเหตุเราไม่สามารถเข้าถึงสถานที่เกิดเหตุได้ในทันที

ดังนั้นส่วนใหญ่พวกเราจะไม่เห็นสภาพของสถานที่เกิดเหตุ และไม่มีส่วนร่วมในการรวบรวมวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ ซึ่งจุดนี้สำคัญนะครับ เพราะเมื่อเราไม่เห็นที่เกิดเหตุเอง มันอาจทำให้การตั้งประเด็นการสืบสวน การกำหนดแนวทางการสืบสวนผิดได้ ส่วนข้อได้เปรียบของกองปราบ ก็คือ เราทำงานเฉพาะคดีสำคัญ และน่าสนใจ ทำให้เราใช้ศักยภาพ กำลังพล และอุปกรณ์ต่างๆ ทุ่มลงไปกับงานนั้นๆ ได้อย่างเต็มที่

...

"ในปัจจุบันผู้บังคับบัญชาเอาใจใส่และคัดเลือกบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้หน่วยของเราพร้อมทำงานในการทำงานมากยิ่งขึ้น"

ปัจจุบันรับผิดชอบคดีสำคัญในภาคอีสาน 

พื้นที่รับผิดชอบของ กองกำกับการ 3 คือพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 และ ภาค 4 กล่าวง่ายๆ ก็คือ ภาคอีสานทั้งหมด ซึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ในเบื้องต้นได้สั่งการให้ทีมงาน สแกนพื้นที่ดูว่าอาชญากรรมที่สำคัญที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และแนวโน้มอาชญากรรมในพื้นที่เป็นไปในทิศทางใด เพื่อที่จะวางแนวทางการทำงานได้ตรงเป้าหมาย


ส่วนเป้าหมายการทำงานนั้น ในความคิดผมนะ พี่มองว่าทีมงานของพี่ที่มีอยู่ในขณะนี้เรียกได้ว่าเกือบสมบูรณ์นะ ทุกคนมีความรู้ ความสามารถ มีความคิด หน้าที่ของพี่ก็เพียงสร้างความสามัคคี สนับสนุน เป็นที่ปรึกษา และผลักดันพวกเขาให้ใช้ศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ผมว่าแค่นี้ก็น่าจะเห็นผลงานดีๆ ออกมาได้แล้วนะ

ยึดมั่นเป็นแบบอย่าง 

จริงๆ มีหลายท่านนะครับ แต่ที่สำคัญที่สุดในชีวิต คอยอบรม คอยสั่งสอน และผลักดันผมมาถึงจุดนี้ ก็คือท่าน พล.ต.ต.ประยนต์ ลาเสือ ครับ ยังจำภาพวันที่ผมแต่งเครื่องแบบนั่งเข้าเวร ยศ ร.ต.ต. แล้วพี่ยนต์ เดินเข้ามาแล้วบอกว่า เอ็ง มาอยู่กับพี่ ตั้งแต่วันนั้นชีวิตก็เปลี่ยนและเดินมาถึงทุกวันนี้
อีกท่านที่สำคัญ คือ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งจากที่พี่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ทำให้ได้เรียนรู้ ซึมซับ แนวคิด มุมมอง และทัศนคติในการสืบสวนใหม่ๆ
นอกจากนี้ยังมี พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์, พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ที่คอยแนะนำการทำงานมาโดยตลอด

...

ตำรวจต้องก้าวให้ทันอาชญากรรมที่พัฒนารุดหน้าไปมาก 

อาชญากรรมทุกวันนี้ มีการพัฒนา และรูปแบบเปลี่ยนแปลงไปมากครับ เพราะทุกวันนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร คนร้ายสามารถศึกษาวิธีการกระทำความผิด ข้อต่อสู้ทางกฎหมาย สร้างเครือข่ายอาชญากรรม หรือแม้แต่เลือกเหยื่อ ได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว

เมื่อรูปแบบอาชญากรรมเปลี่ยนไปเช่นนี้ ตำรวจก็ต้องพัฒนาตามครับ ซึ่งนอกจากจะให้ความรู้กับข้าราชการตำรวจแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างเครือข่าย และปรับทัศนคติครับ ความคิดที่แย่งกันทำงาน ใครจับก่อนคนนั้นดัง ควรเปลี่ยนได้แล้ว ตำรวจทั้งประเทศมีจำนวนนับแสนครับ ถ้าทุกคนมีความพร้อม และร่วมมือกัน ผมว่าอาชญากรรมคงลดลงได้เยอะครับ

ถ้าไม่ได้เป็นตำรวจคิดไม่ออกว่าต้องเป็นอะไร 

อันนี้ตอบยากครับเพราะมันเป็นไปแล้ว ยอมรับครับว่าเคยมีความรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เลือกตำรวจ เพราะตอนสอบติดนักเรียนนายร้อยตำรวจ ก็สอบติดวิศวะ ด้วย แต่พอเวลาผ่านไปก็เริ่มเห็นว่าเราสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีๆ หลายอย่างได้จากความเป็นตำรวจ ยิ่งปัจจุบันมีทีมงานดีๆ ก็ยิ่งทำให้เราสนุกและมีความสุขในการทำงาน เลยไม่คิดครับว่าถ้าไม่เป็นตำรวจแล้วจะทำอะไร

Police Community