เมื่อทำเลทอง เป็นทำเลร้อน เมื่อผลประโยชน์สาธารณะมาช้า จนถูกตั้งคำถามว่าประโยชน์ส่วนตัวที่เสียไป ถูกเวนคืนที่สร้างทางด่วน แต่กลับกลายเป็นตลาดนัด ร้านอาหาร จุดนี้ชาวบ้านจึงต้องทวงที่ดินคืน

นั่นคือสถานการณ์ร้อนระอุ ที่กำลังเกิดขึ้นบนที่ดินผืนงามกว่า 100 ไร่ เป็นความขัดแย้งที่เดินทางมาถึงจุดการฟ้องร้องระหว่างชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิม กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยนับตั้งแต่ปี 2556 มีสำนวนการฟ้องร้องหลายสำนวน จนปัจจุบันในชั้นศาลปกครองกลาง ได้พิพากษาให้กทพ.คืนที่ดินให้เจ้าของเดิมบางคนแล้ว แต่ ณ เวลานี้คดียังไม่ถึงที่สิ้นสุด เพราะกทพ.ยื่นอุทธรณ์ เพื่อเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลปกครองสูงสุด

ชาวบ้านพึ่งศาลฯ ขอที่ดินคืน
หลังจากเฝ้ามองความเจริญที่มาพร้อมกับถนนตัดใหม่ ภายใต้การดำเนินการของกรมทางหลวง ที่เคยเรียกกันว่าถนนเกษตร-นวมินทร์ หรือชื่อถนนประเสริฐมนูกิจในปัจจุบัน ผ่านไปนานเกือบ 30 ปี มีจุดหนึ่งบนถนนสายนี้ ที่มีเจ้าของที่ดินหลายสิบรายถูกเวนคืนเมื่อปี 2533 รวมเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ บริเวณจุดตัดทางด่วนฉลองรัช เลียบทางด่วนรามอินทรา อาจณรงค์ กับถนนเกษตร-นวมินทร์ ที่ชาวบ้านมองว่ามีการเวนคืนเกิน ในช่วงการก่อสร้างทางด่วนฉลองรัช ของกทพ.และเปิดใช้งานตั้งแต่ปี 2539 ผ่านไปเกือบ 30 ปี ที่ดินยังคงว่างเปล่า และช่วงหลังกลายเป็นตลาดนัด ร้านอาหารที่สุดคึกคักบนถนนย่านนี้

...

เจ้าของที่ดินรายหนึ่ง เล่าให้ฟังถึงความเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณนี้ว่าเป็นมรดกตกทอดมาที่มีอยู่นับร้อยไร่ เป็นทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา แต่ในวันนี้เหลืออยู่ในมือไม่กี่ไร่หลังถูกเวนคืน ที่ดินบางแปลงที่เหลืออยู่ก็มีราคา ให้เช่าได้เงินมากขึ้น แต่ก็มีบางแปลงที่ต้องจ่ายค่าผ่านทางเข้าออก เพราะที่ดินที่ถูกเวนคืน และกลายเป็นของรัฐไปแล้ว

“สิ่งที่ยอมรับได้คือมีถนนเกษตร-นวมินทร์เพื่อประโยชน์สาธารณะ แลกกับค่าเวนคืนที่ได้ในขณะนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอีกมุมหนึ่ง คือเห็นเจ้าของที่ดินบางรายถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางด่วน แต่ยังไม่ได้สร้าง แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว เท่ากับว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อสาธารณะตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืน”

ยิ่งเวลาผ่านไป ชาวบ้านก็ยิ่งหวังว่า คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกแล้วสำหรับถนนสายนี้ และตอม่อประมาณ 280 ฐาน ที่เรียงรายบนเส้นทางยาวกว่า 10 กิโลเมตร ก็คงยังทำหน้าที่แค่โชว์ตัวเลขบนเสาให้คนผ่านทางไม่หลงทาง หรือเป็นจุดนัดพบของร้านอาหาร หมู่บ้านในย่านนั้น

แน่นอนว่าต้องมีคำถามขึ้นว่า เมื่อที่ดินที่เวนคืนไปแล้ว แต่ไม่ทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ จะได้คืนหรือไม่ อย่างที่ชาวบ้านรายหนึ่งที่เป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งบริเวณจุดตัดทางด่วนฉลองรัช กับถนนเกษตร-นวมินทร์ สงสัยว่าเมื่อไม่สร้างทางด่วน แล้วทำไมไม่คืนที่ให้ประชาชน แถมยังกลายเป็นพื้นที่ทำมาหากิน สร้างเม็ดเงินสะพัดให้ของคนเฉพาะกลุ่มอีกด้วย

เรื่องราวการฟ้องร้องระหว่างชาวบ้านกับกทพ.จึงเริ่มขึ้น

นายประหยัด เสนวิรัช นายกสมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อสังคม ในฐานะตัวแทนชาวบ้านที่ฟ้อง กทพ. เปิดเผยว่า เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเจ้าของที่ดินที่อยู่บริเวณ 4 แยกจุดตัดทางด่วนฉลองรัช ทางด่วนรามอินทรา อาจณรงค์ กับเกษตร-นวมินทร์ ที่เห็นว่ากทพ.ยังไม่ได้สร้างทางด่วนหลังเวนคืนไป จึงประสานงานกับทนายความหลายคน เพื่อเป็นทนายความให้ชาวบ้านในคดีฟ้องกทพ.ต่อศาลปกครอง จนศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้คืนที่ดินแก่ประชาชน 13 ราย

อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอขั้นตอนต่อไป เพราะขณะนี้กทพ.ได้ยื่นอุทธรณ์ จึงต้องรอคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด ขณะเดียวกันกทพ.ได้เดินหน้าโครงการก่อสร้างทางด่วนอีกครั้ง ที่ผ่านมาทางสมาคมฯ จึงทำเรื่องคัดค้านไปยังกทพ. ด้วยข้อกังวล เช่น ทางด่วนเส้นนี้ไม่ได้ลดปัญหาการจราจร เพราะไม่ได้เตรียมพร้อมเส้นที่ต่อเชื่อมจนครบ แต่ก็ได้รับคำชี้แจงถึงความจำเป็นในการสร้างทางด่วนเส้นนี้

...

กทพ.สู้ในชั้นศาล พร้อมเดินหน้าฟื้นโครงการทางด่วน
แผนของกทพ.ล่าสุดคือสร้างทางด่วน 4 ช่องจราจร ในชื่อทางการว่า โครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก งบประมาณก่อสร้าง 17,000 ล้านบาท จุดสำคัญคือโครงการนี้ ย้ำความจำเป็นในการใช้พื้นที่กว่า 100 ไร่ตรงแยกทำเลทองนั้น


นายสุทธิศักดิ์ วรรธนวินิจ รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและกรรมสิทธิ์ที่ดิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่าโครงการนี้เป็นแผนที่กทพ.เตรียมดำเนินการมานาน และเมื่อปี 2537 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการก่อสร้างไว้แล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่ได้สร้าง เพราะติดขัดปัญหาหลายประการ ทั้งเรื่องงบประมาณ ความเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล และมีการคัดค้านโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N 1 ที่ผ่านบริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เป็นเส้นเชื่อมต่อ N2 ให้ทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือครบระยะทางเพื่อระบายรถในเส้นทางเชื่อมต่อโครงข่ายทางด่วนพื้นที่ฝั่งตะวันตก และตะวันออก

...

สำหรับสถานะปัจจุบันของโครงการนั้น ได้ปรับรูปแบบโครงการ และทำหนังสือ ถึงกระทรวงคมนาคมเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2560 เพื่อพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติ หลังการจัดรับฟังความเห็นประชาชน 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 26 ก.ย. และ 7 ธ.ค.2560

ส่วนโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเส้นทาง N2 นี้ คณะกรรมการจัดจราจรทางบก ได้ประชุมเมื่อวันที่ 21 ก.พ.2561 ให้สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือสนข.พิจารณาระยะเวลาการพัฒนาโครงการถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล และให้กทพ.ออกแบบทางด่วนตอน N2 นี้รองรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลด้วย ส่วน N1 ได้มีแผนการปรับเส้นทางไม่ให้กระทบต่อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

...

“โครงการนี้เป็นแผนเดิมที่กทพ.เตรียมไว้มานาน ไม่ใช่อย่างที่ชาวบ้านเข้าใจว่าเวนคืนที่มาเกิน และไม่ใช่ว่าเมื่อมีการฟ้องร้องแล้ว การทางฯ ถึงได้รื้อฟื้นโครงการ ที่ผ่านมามีการพยายามดำเนินการก่อสร้าง มีการปรับรูปแบบ อย่างล่าสุดก็ปรับรูปแบบที่เคยเสนอไว้ 6 ช่องจราจร เหลือ 4 ช่องจราจรในแผนล่าสุดนี้ และออกแบบก่อสร้างให้ทางยกระดับนี้สูงขึ้นจากเดิม เพื่อรองรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลด้วย และให้จุดที่เป็นอินเตอร์เชนจ์ ทางขึ้นลง มีด่านเก็บเงินด้านบน บนที่ดินกว่า 100 ไร่ที่เวนคืนไว้อยู่แล้ว”

สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ นอกจากรอครม.อนุมัติแล้ว ยังรอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีกด้วย หากผ่านขั้นตอนต่าง ๆ แล้ว ศาลปกครองสูงสุดยังไม่ตัดสิน กทพ.ก็มีแนวทางเพื่อจะดำเนินการต่อ เช่น อาจขอไต่สวน คุ้มครองฉุกเฉิน หารืออัยการสูงสุดเพื่อกำหนดแนวทางก่อสร้าง เป็นต้น

กทพ.ไม่ต่อสัญญาเช่าที่ตลาดนัด-ร้านอาหารหัวมุม

นายสุทธิศักดิ์ ยืนยันด้วยว่าในส่วนเอกชนที่เช่าพื้นที่บริเวณ 100 ไร่ ในจุดตรงหัวมุมที่มีทั้งร้านอาหารและตลาดนัดดังกล่าว กทพ.แจ้งไม่ต่อสัญญาเช่าแล้ว หลังจากให้เช่ามา 2-3 ปี ได้ค่าเช่ารวมปีละประมาณ 17-18 ล้านบาท พร้อมชี้แจงด้วยว่าที่ผ่านมาต้องให้เอกชนมาเช่าที่ดิน เพราะหลังเวนคืนและรอดำเนินโครงการทางด่วน ที่ดินถูกปล่อยรกร้าง เป็นป่ากก รกชัฏ เป็นอันตรายกับชุมชนรอบข้าง เพราะเสี่ยงกับเหตุอาชญากรรม จึงต้องปรับพื้นที่ให้ใช้ประโยชน์ มีสิ่งปลูกสร้างให้ง่ายต่อการรื้อถอนอย่างเช่นตลาดนัด เป็นต้น

รองผู้ว่ากทพ.ย้ำว่าเรื่องของคดีความไม่อยากให้ความเห็นอะไรมากนัก เพราะยังอยู่ในชั้นศาลฯ และยืนยันว่าไม่ได้ต้องการขัดแย้งกับชาวบ้าน และโครงการนี้มีมานาน ไม่เคยล้มเลิกโครงการ การฟ้องร้องที่เกิดขึ้น ก็เข้าใจว่าชาวบ้านก็ต้องรักษาสิทธิ์และอยากได้ที่ดินคืน แต่การทางฯ เองก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

นี่คือการใช้สิทธิ์เพื่อเรียกร้องและปกป้องผลประโยชน์ของทั้งชาวบ้าน และหน่วยงานรัฐ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผลการตัดสินจากศาลปกครองสูงสุดจะออกมาอย่างไร ทั้งสองฝ่ายต่างก็พร้อมยอมรับ