“คนรอบตัวส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หมายเลข 191 โทรไม่ติด แต่เรื่องจริงที่สุดก็คือ คนเหล่านั้นไม่เคยลองโทรเข้ามาแม้เพียงครั้งเดียว” ตำรวจ 191 เป็นเหมือนที่พึ่งแรกที่ประชาชนเรียกหาเมื่อยามเดือดร้อนมีภัย แต่ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อหมายเลข 191 กลับติดลบ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ตำรวจไทย ที่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้ อาจจะด้วยข้อจำกัดมากมายที่เกิดขึ้น แต่เมื่อผมได้เข้ามารับผิดชอบจุดนี้โดยตรง ผมจึงทำให้ 191 รองรับความต้องการของประชาชนได้ 100 เปอร์เซ็นต์” 



...ถึงแม้ที่ผ่านมา หมายเลขแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 191 จะรองรับเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร แต่ปัจจุบันครอบคลุมแล้วทั่วประเทศ ด้วยวิธีบูรณาการตำรวจหน่วยงานต่างๆ ไว้เข้าด้วยกัน เพื่อสนองให้ความช่วยเหลือประชาชนทันท่วงที โดยมีเบื้องหลังความสำเร็จที่สมบูรณ์เต็มรูปแบบจากการฟอร์มทีมงานคุณภาพ เลือกเฟ้นตำรวจรุ่นใหม่เข้ามานั่งเก้าอี้รับผิดชอบดูแลระบบ ตอบโจทย์ประชาชน มีหัวหอกคนสำคัญ "พ.ต.อ.ธัชพงศ์ สารวนางกูร" ผู้กำกับศูนย์รวมข่าวกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191) นายตำรวจนักเรียนนอก อนาคตไกล กับไฟฟันมุ่งมั่นพัฒนาระบบ ให้การช่วยเหลือเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

“ไทยรัฐออนไลน์ โดย Police Community” พาไปทำความรู้จัก “ผู้กำกับต่อ 191” จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตัดสินใจสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 37 และเลือกเป็นนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 53 ก่อนจะบินลัดฟ้าไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านกฎหมายโดยตรงที่ LL.M.International Criminal Law, University of Sussex, England เคยดำรงตำแหน่ง รองสารวัตรคดีการเงินการธนาคาร กองบังคับการ สืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ, รองผู้กำกับการท่องเที่ยว 2 กองบังคับการตํารวจท่องเที่ยว และปัจจุบัน ผู้กำกับศูนย์รวมข่าวกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191)

...

"เป็นตำรวจแลกด้วยอะไรมาก็ไม่คุ้ม ...แต่พี่แลกด้วยการลาออกจากเตรียมอุดมฯ เข้า เตรียมทหารรุ่น 37"



พ่อพี่เป็นตำรวจครับ เป็นตำรวจหัวโบราณมากด้วย พี่โตมากับภาวะที่เคยชินกับการเห็นตำรวจทำงาน พี่เห็นพ่อเหนื่อยมาทั้งชีวิต แอบคิดด้วยว่าเหนื่อยแบบนั้นแลกด้วยอะไรมาก็ไม่คุ้ม แทบไม่มีเวลาส่วนตัวให้ครอบครัวเลย วางแผนจะไปเที่ยวต้องลุ้น 50 - 50 สมัยนั้นเราเป็นเด็กก็คิดแบบเห็นแก่ตัวว่า เราไม่เป็นตำรวจเด็ดขาด กระทั่งโตขึ้นความคิดเริ่มเปลี่ยน มองเห็นความทุกข์ของคนรอบข้างเป็นเรื่องที่เราต้องช่วยเหลือ โดยเฉพาะเห็นภาพที่พ่อได้ช่วยเหลือประชาชน มันทำให้พี่ซึมซับ เริ่มรู้เลยว่าตำรวจเหมือนฮีโร่ เป็นที่พึ่งพาของชาวบ้านได้จริงๆ "เด็กผู้ชายทุกคนอยากเป็นฮีโร่ พี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น" การที่เราได้ช่วยเหลือคน ความภาคภูมิใจมันคือสิ่งที่พี่ต้องการมากกว่าสิ่งของนอกกายอื่นๆ"

"ช่วงเวลานั้นอาชีพที่เขาฮิตกัน นี่ต้องเป็นวิศวกร หรือแพทย์ 2 อาชีพนี่หล่อมาก เพื่อนฝูงรอบตัว ไม่มีใครอยากให้พี่เป็นตํารวจเลยครับ คิดดู เพื่อนในห้องเรียนพี่มี 52 คน เอ็นทรานซ์ติดแพทย์ไป 24 คน เป็นวิศวกรอีก 25 คน ทั้งรุ่นมีพันกว่าคน แต่มีพี่คนเดียวที่ลาออกจากโรงเรียนเพื่อเป็นนักเรียนเตรียมทหาร จำได้ว่าผู้อำนวยการต้องมาขอร้องว่าอย่าออกไปเลย ก็รู้สึกนะว่าตอนนั้นตัวเองดูมีคุณค่า แต่พี่เลือกแล้วที่จะเป็นตำรวจ"

ชีวิตในรั้วโรงเรียนแสนเหนื่อย ผิดกับเพื่อนมหา'ลัยอย่างฟ้ากับเหว 


พอได้มาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร บอกตรงๆ ว่าแตกต่างกับเพื่อนๆ คนอื่นโดยสิ้นเชิง ทำเอาพี่แอบอิจฉาที่ไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นเหมือนเพื่อนปกติทั่วไป แต่ของพี่ต้องเรียนหลักสูตรเข้มข้นซึ่งมันก็สนุกดีในรูปแบบของเรา โรงเรียนสอนให้อดทนทุกรูปแบบ ทั้งร่างกายและจิตใจ สุดสัปดาห์พี่คิดอย่างเดียวว่าอยากกลับบ้านมาก แต่อยู่ในภาวะที่เลือกอะไรไม่ได้ บางทีขึ้นรถออกจากโรงเรียนไปแล้ว อยู่ดีๆ รถวนกลับเข้ามาในโรงเรียนอีกเฉยเลย 

"ให้ย้อนเวลา พี่ก็เลือกมาเป็นตำรวจเหมือนเดิมนะ เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ความรักสามัคคีที่ได้มาจากความยากลำบากมันมีคุณค่ามาก โดยเฉพาะเพื่อนๆ พี่ นรต.53 พวกเรารักกันมากครับ"

...

ถ้าไม่เป็นตำรวจ ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็นอะไร 

นั่นน่ะสิครับ จริงๆ แล้วความถนัดของพี่เอาไปทำมาหากินยากนะ พี่ชอบดนตรี ศิลปะ ภาษา และการอ่านหนังสือ ซึ่งทักษะพวกนี้ มองเผินๆ ห่างไกลจากการนําไปใช้ในอาชีพตํารวจมาก แต่เอาเข้าจริงมันทําให้พี่สามารถใช้จินตนาการได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นระบบ ใช้งานได้ ไม่ใช่คิดเลอะเทอะ ทำให้พี่มีแนวคิดที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน  โชคดีที่ว่าผู้บังคับบัญชาของพี่ เห็นความคิดแปลกๆ ที่สามารถสร้างประโยชน์ได้ จึงมักจะดึงมาใช้งานอยู่เสมอ 

"ถ้าถามว่า ไม่เป็นตำรวจจะเป็นอะไร ไม่รู้เลยจริงๆ ครับ เพราะพี่เองก็ไม่เคยฝันอยากเป็นหมอหรือเป็นวิศวะ.." 


ผู้กำกับผ่านฟ้า รับมอบหมายดูแลศูนย์รวมข่าว 191 

คนรอบตัวส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หมายเลข 191 โทรไม่ติด แต่เรื่องจริงที่สุดก็คือ คนเหล่านั้นไม่เคยลองโทรเข้ามาแม้เพียงครั้งเดียว” ตำรวจ 191 เป็นเหมือนที่พึ่งแรกที่ประชาชนเรียกหาเมื่อยามเดือดร้อนมีภัย แต่ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อหมายเลข 191 กลับติดลบ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ตำรวจไทย ที่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้ อาจจะด้วยข้อจำกัดมากมายที่เกิดขึ้น แต่เมื่อผมได้เข้ามารับผิดชอบจุดนี้โดยตรง ผมจึงทำให้ 191 รองรับความต้องการของประชาชนได้ 100 เปอร์เซ็นต์


...

"ด้วยข้อจํากัดของจํานวนคู่สายที่ไม่เพียงพอต่อระบบเทคโนโลยีที่พังทลาย และยังมีพวกโทรป่วน ขโมยนาทีชีวิตของคนอื่นอีก จึงได้ตั้งโจทย์บอกกับตัวเองว่า “จะต้องทําให้ 191 สามารถให้บริการประชาชนให้ได้ 100%” และต้องมีประสิทธิภาพ ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับปรุง พัฒนา นําระบบการรับแจ้งเหตุของ 191 ให้ “โทรติดง่าย รับสายเร็ว” ปัจจุบันขอรับประกันว่า 191 โทรติดทุกสายแน่นอน"


...


ภาคภูมิใจที่ตัวเองเคยชินกับ "ความเสียสละ" 


ครั้งหนึ่งระหว่างปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนอยู่บริเวณแยกราชประสงค์ในวันส่งท้ายปีเก่า มีประชาชนมาเที่ยวอย่างล้นหลาม หนึ่งในนั้นมีชาวต่างชาติครอบครัวนึงมาขอพี่ถ่ายรูป แล้วชายคนที่เป็นพ่อพูดกับพี่ว่า “ผมชื่นชมพวกคุณนะ คุณเสียสละมาก” พี่ถามกลับไปว่า "เพราะอะไรถึงชื่นชมครับ" คำตอบที่พี่ได้ทำเอาจดจำไม่ลืม.... “เวลาแบบนี้คุณควรจะอยู่กับคนที่คุณรักไม่ใช่เหรอ?” 

พี่ลองมาย้อนคิดกลับไปคิดว่า ตั้งแต่พี่เป็นตำรวจมา ไม่เคยได้ใช้เวลาแบบนี้กับครอบครัวเลย ทุกเทศกาลต้องไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวมตลอด แต่พี่เติบโตในครอบครัวตำรวจ เลยไม่คิดว่าการเสียสละตรงนี้มันดูยิ่งใหญ่ในสายตาใคร มันคงเป็น “ความเคยชิน บวกกับความเสียสละ” ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ครอบครัวตํารวจทุกบ้านเคยชินเช่นกัน คำพูดแค่ประโยคเดียววันนั้น เป็นความภาคภูมิใจที่ได้เสียสละความเป็นส่วนตัว เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

ได้ร่วมงานกับคนทำงาน สั่งสมประสบการณ์ตอบแทนประชาชน


อีกเรื่องที่พี่ภาคภูมิใจและถือเป็นกำไรชีวิตมากๆ คือ ชีวิตราชการตำรวจที่ผ่านมา พี่เจอแต่ผู้คนที่ดี เจอเพื่อนที่ดี สำคัญที่สุดคือ ผู้บังคับบัญชาพี่ทั้งเก่งและดี ทุกท่าน อบรม สั่งสอนทั้งในมุมของผู้บังคับบัญชาและญาติผู้ใหญ่ ซึ่งพี่พยายามจดจำนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ชีวิตการทำงาน ทุกอย่างมันทำให้พี่เป็นตำรวจมืออาชีพอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่คุณพ่อของพี่เอง รวมไปถึง ท่าน พล.ต.ต.สุชาติ กาญจนวิเศษ สอนให้เห็นถึงความสําคัญของทีมงานและการมีส่วนร่วม 

ท่าน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา สอนการเป็นตํารวจมืออาชีพต้องมีความ ละเอียดและรู้จังหวะการคิดวิเคราะห์ที่ลึกล้ำเหนือกว่าคนทั่วไปอย่างไม่น่าเชื่อ ท่าน พล.ต.ต.ธนังค์ บุรานนท์ สอนการขับเคลื่อนงานทุกมิติ ที่ใครๆ อาจคิดไม่ถึง ท่าน พล.ต.ท.อดิศร์ งามจิตสุขศรี สอนความคิดสร้างสรรค์ที่ ”ล้ำสมัย” และเป็นประโยชน์ 

และอีกท่านที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ผู้บังคับบัญชาที่ตั้งใจจริงจังกับการทำงานแบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย มุ่งมั่นสร้างหน่วยงานให้ตอบโจทย์ช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง ท่านเต็มที่กับทุกเรื่อง จริงจังตั้งใจ เสียเท่าไรก็ได้ แต่สิ่งที่คืนกลับมาต้องได้ประโยนช์เพื่อประชาชนมากที่สุด แนวทางทั้งหมดที่ทุกท่านสอน ล้วนมุ่งหวังไปในสิ่งเดียวกันคือ “ต้องทํางานให้เต็มที่เพื่อประชาชน”

ตำรวจเซลฟี่ว่าตัวเองทำงาน ถ่ายรูปกลางฝนสร้างภาพ ขณะที่โจรยังเต็มเมือง

ผิดไหมถ้าพี่จะบอกว่า “รู้สึกดีมาก” ถ้าการทำงานของพี่ไม่ถูกคนอื่นพูดถึง เพราะโดยส่วนตัวไม่ชอบแสดงตัวอยู่แล้ว พี่ชอบทำงานเบื้องหลัง ตามกระแสพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 “ปิดทองหลังพระไปเรื่อยๆ แล้วทองก็จะล้นออกมาที่หน้าตักเอง” ทุกวันนี้พี่ได้รับความก้าวหน้าในการงาน เพราะทองที่ล้นออกมาหน้าตักนี่แหละครับ

"พี่ว่ารสนิยมปัจจุบัน ที่ตำรวจต้องเซลฟี่เวลาไปปฏิบัติหน้าที่ มองดูไกลๆ แล้วรู้สึกแปลกๆ ขนาดพี่เป็นตำรวจยังคิดแบบนี้ แล้วชาวบ้านที่เห็นจะคิดยังไง มีอีกตั้งหลายวิธีที่จะทำให้คนรับทราบว่าเราทำงานโดยไม่ต้องแสดงตัว ซึ่งต้องเน้นที่ผลลัพธ์ หากมันออกมาดี ประชาชนก็จะรู้เองว่าเราทำงาน กลับกันหากเราเน้นภาพว่าตำรวจทำงานแล้วไปยืนถ่ายภาพท่ามกลางสายฝน ขณะที่โจรยังเต็มเมือง มันก็แปลได้ว่าที่ตำรวจทำๆ อยู่ ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรให้ประชาชน เราแค่ปัดปัญหาทิ้งโดยการเซลฟี่ แล้วบอกว่าทำงานแล้วนะ"

ขอถามประชาชน 1 คำถาม ตอบในใจก็ได้ครับ


เรื่องคนไทยเกลียดตำรวจ พี่ว่าไม่ใช่ทุกคนเสมอไป แต่ให้พูดอาจดราม่าได้ เพราะพื้นฐานคนเราไม่ชอบให้ใครมาจำกัดสิทธิ แต่ตำรวจต้องทำส่ิงนั้นกับพวกเขา เพื่อให้สังคมเป็นระเบียบสงบสุข การเปลี่ยนทัศนคติคนยากครับ แต่ตราบใดที่เราทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตั้งใจทำเพื่อประชาชนจริงๆ ความรู้สึกด้านลบก็จะถูกกลืนหายไป และศรัทธาของตำรวจต่อประชาชนก็จะเพิ่มขึ้นเอง แต่ประชาชนต้องเคารพกฎหมายด้วยนะครับ


“ขอถามประชาชนคำนึง ให้ทุกคนตอบในใจก็ได้ ขออย่างเดียวว่าคำตอบที่ออกมาอย่าโกหกตัวเอง ....ถ้าวันหนึ่งมีใบสั่งส่งมาที่บ้านว่าคุณขับรถเร็วเกินกว่ากำหนด สิ่งแรกที่คุณจะทำคืออะไรครับ? ....ให้ลองตอบกันเองในใจ หวังว่าคงไม่ใช่คงรีบโทรหาเพื่อนที่เป็นตำรวจเพื่อขอให้ช่วยนะครับ

คิดว่าตัวเองมีประโยชน์กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมั้ยคะ


แหม...ถามแบบนี้พี่จะตอบว่ายังไงดีครับ พี่ว่าไม่ใช่เฉพาะแค่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือประเทศไทยเท่านั้น เรียกว่ามีประโยชน์กับโลกนี้เลยดีกว่า โลกเราต้องการคนทำงานที่เสียสละ ตั้งใจ สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ซึ่งโดยส่วนตัวพี่ว่า พี่น่าจะเป็นคนแบบนั้นนะ 

งานในหน้าที่ตำรวจ จะมาปฏิรูปกันเล่นๆ ไม่ได้ คิดเองเออเองไม่ได้นะครับ 

รู้สึกยินดีจากใจจริงครับ หากจะมีการปฏิรูปตำรวจให้เกิดขึ้นไปในทิศทางที่ดี แต่คนที่เข้ามาปฏิรูปปรับเปลี่ยนต้องเข้าใจปัญหาจริงๆ คุณจะเข้ามาทำเล่นๆ คิดเองเออเองไม่ได้ครับ เพราะมันกระทบชีวิตของประชาชน ต้องทำเป็นจริงเป็นจังโดยปราศจากอคติทั้งปวง ต้องได้ข้อมูลแบบสั้นๆ ง่ายๆ ตรงจุดที่สุด อันดับแรก คุณต้องปรับที่ทัศนคติ ถ้าคุณอยากสร้างบ้านที่มั่นคงแข็งแรง กันลมกันฝนได้ คุณต้องดูด้วยว่าคุณมีงบประมาณเท่าไร 

แต่เราจะหวังอะไรล่ะครับ ทุกวันนี้ตำรวจทำงานบนความขาดแคลน เกินกว่าจะปฏิบัติภารกิจได้อย่างที่ควรจะต้องเป็น แถมยังมีโครงการกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่เกิดค่าใช้จ่ายเต็มไปหมด เพราะตำรวจคิดไปเองว่าการทำแบบนั้นคือสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธาให้ประชาชน แต่ผมว่าเรากำลังเดินกันผิดทาง เพราะการสร้างความศรัทธาต่ออาชีพตำรวจนี้ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ ตำรวจแค่ปฏิบัติหน้าที่ตัวเองอย่างเคร่งครัด  เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งรัฐต้องสนับสนุนให้ตำรวจสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วย 

*** ตำรวจเหมือนกัน แต่มุมคิดต่างกัน ประชาชนเหมือนกัน แต่รักตำรวจไม่เท่ากัน และถึงแม้ทุกๆ คนจะมีแนวคิดที่แปลกแยกแตกต่าง ก็ใช่ว่าความคิดเหล่านั้นจะไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เพราะทั้งหมดทั้งปวงล้วนแล้วแต่มีเหตุผลมุมคิดที่ไม่ควร "แค่คิด" ลองลงมือปฏิบัติร่วมกันแก้ไขเปลี่ยนแปลง ผลักดันสำนักงานตำรวจแห่งชาติก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพ ถึงวันนั้นการเรียกศรัทธาจากประชาชน คือผลสำเร็จที่ตามมา....  

Police Community