ปล้นอุกอาจ ขณะขนเงินสด 196 ล้านเยนหรือ 60 ล้านบาท จากญี่ปุ่นเข้ามาทางสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อกลับถึงลานจอดรถคอนโดหรูย่านพหลโยธิน คนร้ายประมาณ 6 คนควงปืนทุบหัวเหยื่อเย็บ 20 เข็ม จัดมัดมือมัดเท้ากระสอบป่านคลุมหัว เชิดเงินสดพร้อมขับรถกระบะของเหยื่อหลบหนีลอยนวล เสี่ยจิวเวลรี่เจ้าของเงินโร่แจ้งความ ยันนำเงินเข้าประเทศผ่านศุลกากรถูกต้อง “น.1” คนใหม่เต้น มาอำนวยการติดตามคนร้ายด้วยตัวเอง เชื่อต้องมีคนในร่วมด้วยเพราะรู้ขั้นตอนขนเงินละเอียดยิบ โวคดีนี้ไม่ยากได้ตัวแน่ เร่งประกาศหารถกระบะที่คนร้ายใช้หลบหนี พร้อมประสานธนาคารและร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราทั่วประเทศแล้ว

เหตุคนร้ายบุกปล้นเงินคาลานจอดรถคอนโดหรู รายนี้ เปิดเผยขึ้นที่ สน.พหลโยธิน เมื่อเวลา 23.40 น. วันที่ 2 ต.ค. นายภัทริศ หรือโต้โต้ แต้รัตนชัย อายุ 34 ปี นักธุรกิจซื้อขายทองคำแท่งและส่งออกเครื่องประดับเพชรไปประเทศญี่ปุ่น เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ร.ต.อ.นวพล วิทยะเกริกไกร รองสว. (สอบสวน) สน.พหลโยธิน ถูกกลุ่มคนร้ายปล้นเงินสดจำนวน 196 ล้านเยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 60 ล้านบาท ไปจากบริเวณลานจอดรถชั้น 5 รัชดา พาวิลเลี่ยน คอนโดมิเนียม ถนนรัชดาภิเษกซอย 30 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม. จึงรีบส่งชุดสืบสวนไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบกองเลือดเป็นจุด เชือก เทปกาวใช้แล้ว และกระสอบป่านทิ้งอยู่ 3 ใบ บริเวณชั้นจอดรถที่เกิดเหตุ จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

นายภัทริศ แต้รัตนชัย ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุตนมอบหมายให้นายณรงค์ชัย หรือจั๊ว สวัสดิผล นำเงินสด 196 ล้านเยน ใส่กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าสะพายหลัง โดยสารเครื่องบินจากประเทศญี่ปุ่นมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยผ่านศุลกากร (สำแดง) เข้ามาในประเทศ โดยมีนายจิรภัสส์ หรือเนย พิทักษ์กิจวัฒนา และนายเกียรติพงษ์ หรืออุ้ย พึ่งยิ้ม มารอรับอยู่ที่ชั้นผู้โดยสารขาเข้า ทั้งหมดรับมอบหมายจากตนให้นำเงินทั้งหมดมาเก็บที่ห้อง 104 ชั้น 15 ห้องพักของตน โดยมีรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ 6 สีขาว ทะเบียน 4กบ 7806 กรุงเทพมหานคร และ รถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ สีส้ม ทะเบียนป้ายแดง ส 5179 กรุงเทพมหานคร เป็นพาหนะ ส่วนนายณรงค์ชัย ขอแยกกลับไปกับแฟนสาวที่มารอรับที่สนามบิน

...

นายภัทริศให้การต่อไปว่า เมื่อนายจิรภัสส์และนายเกียรติพงษ์ขับรถกลับมาถึงคอนโด นำรถขึ้นมาจอดบริเวณลานจอดรถชั้น 5 ที่ประจำ หลังจอดรถเสร็จกำลังนำกระเป๋าเดินทางและถุงดิวตี้ฟรีบรรจุเงินลงจากรถ แต่ขณะกำลังจะเข้าอาคารมีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 5-6 คน สวมหมวกไหมพรมสีดำปิดบังใบหน้า หนึ่งในคนร้ายชักปืนออกมาตีนายเกียรติพงษ์จนศีรษะแตกเย็บ 20 เข็ม และแย่งคีย์การ์ดที่ใช้เข้าออกจากลานจอดรถไป ส่วนนายจิรภัสส์ถูกกดหัวลงพื้น แล้วทั้ง 2 คนถูกมัดมือไพล่หลัง มัดข้อเท้า เทปกาวปิดปาก และเอากระสอบป่านคลุมหัวอีกชั้น หลังจากนั้นคนร้ายปล้นเงินทั้งหมดขึ้นรถกระบะฟอร์ดของตนหลบหนีไป ต่อมานายเกียรติพงษ์แก้มัดตัวเองหลุดมาได้ รีบขึ้นมาบอกเหตุร้ายกับตนที่ห้องพัก จึงรีบมาแจ้งความ

ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 3 ต.ค. พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช รรท.ผบช.น. พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รรท.รอง ผบช.น. พ.ต.อ.คมศักดิ์ สุมังเกษตร รองผบก.น.2 พ.ต.อ.คณบดี เลิศอมรศักดิ์ ผกก.สส.บก.น.2 พ.ต.อ.ยรรยง สันติปรีชาวัฒน์ ผกก.สน.พหลโยธิน พ.ต.ท.คมสันต์ บดิกาญจน์ รอง ผกก.สส.สน.พหลโยธิน และตำรวจฝ่ายสืบสวน ร่วมประชุมที่ สน.พหลโยธิน หลังการประชุม พล.ต.ท.ชาญเทพเผยว่า เงินจำนวน 196 ล้านเยน นำเข้ามาทางสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเงินจากการทำธุรกิจจิวเวลรี่ ผู้เสียหายยืนยันว่า ดีแคลร์เงินเข้าประเทศถูกต้อง ทำมาประมาณ 5 ปีแล้วพร้อมมีเอกสารยืนยัน ก่อนหน้านี้เคยนำเงินหลากหลายสกุลเข้ามาในประเทศ ใช้ทีมขนเงินมาแล้วกว่า 10 คน อย่างไรก็ตามตำรวจต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่า เงินที่ถูกปล้นหลบเลี่ยงศุลกากรหรือไม่ คดีนี้ตนมอบหมายให้ พล.ต.ต.สมพงษ์ เป็นหัวหน้าทีมสืบสวน

“ทั้งนี้ พยานให้การว่าใช้รถยนต์ 2 คัน คือ รถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ และรถบีเอ็มดับเบิลยู ขนเงินมาจากสนามบินสุวรรณภูมิ นำเงินใส่ในรถบีเอ็มดับเบิลยู 3 ถุงใหญ่ เมื่อมาถึงลานจอดรถคอนโดฯมีคนร้าย 4-6 คน บุกเข้าประชิดตัวจับมัดและตีศีรษะผู้เสียหายเย็บ 20 เข็ม 1 คน ส่วนผู้เสียหายอีกคนถูกมัดมือไพล่หลังเอาถุงกระสอบคลุมศีรษะทั้งคู่ สอบปากคำพยานไปแล้ว 3 ปากได้รายละเอียดพอสมควร ทั้งนี้ ผู้เสียหายไม่ทราบว่า ผู้ก่อเหตุเป็นใคร ทราบว่าคนร้ายมีอาวุธปืน ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน อย่างไรก็ตาม คนร้ายนำรถกระบะฟอร์ดของผู้เสียหายไปด้วย อยู่ระหว่างติดตาม” รรท.ผบช.น.กล่าว

พล.ต.ท.ชาญเทพ เผยด้วยว่า อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง มีหลักฐานการดีแคลร์ เงินถูกต้อง นำเข้าเงินเป็นรอบๆปีหนึ่งมีเงินหมุนเวียนหลายพันล้านบาท ขณะนี้เจ้าหน้าที่สืบสวนเรื่อง ผู้เสียหายถูกปล้นทรัพย์ก่อน ส่วนการทำธุรกรรมจะตรวจสอบในขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ การทำธุรกรรมดังกล่าวไม่มีคนอื่นรู้นอกจากคนใน เบื้องต้นตั้งประเด็น ปล้นทรัพย์เป็นประเด็นหลัก แต่ยังไม่ทิ้งประเด็นธุรกิจ ปกตินอกจากพยาน 3 คนแล้วการเคลื่อนย้ายเงินมีคนอื่นมาทำบ้าง ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกลุ่มรับขนเงินให้ผู้เสียหาย เนื่องจากการธุรกิจแบบนี้จะปิดเป็นความลับรู้กันไม่กี่คน

“ขอตั้งข้อสังเกตว่า ขั้นแรกคนที่จะเข้าไปในลานจอดรถคอนโดต้องมีคีย์การ์ด ส่วนคนร้ายขึ้นไปได้อย่างไรยังไม่ขอตอบ เพราะอยู่ระหว่างการสอบสวน เบื้องต้นสั่งการให้สกัดจับรถกระบะฟอร์ดที่คนร้ายใช้หลบหนี รวมถึงประสานไปยังธนาคาร จุดรับเปลี่ยนแลกเงิน และ ตม.ทั่วประเทศ เงินที่คนร้ายได้ไปทั้งหมดเป็นธนบัตรชนิด 10,000 เยน เหตุดังกล่าวไม่ยากและไม่ซับซ้อน คาดว่าตามจับคนร้ายได้ นอกจากนั้น ยังนำคดีเก่าเมื่อปี 2555 ท้องที่ สน.บางรัก มีพฤติการณ์ก่อเหตุคล้ายกันมาเปรียบเทียบ ครั้งนั้นเป็นนักธุรกิจชาวอินเดียรับแลกเปลี่ยนเงิน คนร้ายได้เงินกว่า 50 ล้านบาท สามารถจับคนร้ายได้หมด” พล.ต.ท.ชาญเทพกล่าว

ด้าน พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รอง ผบช.น.เผยว่า ต้องขอเวลาให้ทีมสืบสวนทำงาน ขณะนี้แบ่งงานกันหมดแล้ว ทั้งการไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ประสานแต่ละโรงพักเพื่อส่งข้อมูลให้จุดรับแลกเปรียบเงิน ขณะเดียวกัน พนักงานสอบสวนกำลังสอบปากคำผู้เสียหาย อย่างไรก็ดีจะพยายามเร่งจับกุมให้ได้เร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จากการตรวจสอบลานจอดรถจุดปล้นเงิน ชุดสืบสวนพบกระสอบป่าน 3 ใบ แสดงว่าคนร้ายจะต้องรู้ข้อมูลเรื่องจำนวนผู้ขนเงินครั้งนี้ว่า มีทั้งหมด 3 คน โดยไม่ทราบว่ามีคนหนึ่งแยกไปก่อนที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ชุดสืบสวนเชื่อว่ากลุ่มผู้ต้องหาจะต้องอยู่ในกลุ่มผู้เสียหายเอง หรือมีสายอยู่วงใน หรือไม่กลุ่มคนร้ายจะต้องตามสะกดรอกลุ่มผู้เสียหายมาตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยที่เหยื่อไม่ระแคะระคาย จึงเตรียมถุงป่านไว้ 3 ใบเอาคลุมหัว ทำให้เชื่อว่าในกลุ่มคนร้ายจะต้องมีคนที่ผู้เสียหายรู้จักรวมอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่ระวังขนาดใส่หมวกไหมพรมคลุมหน้าแล้วยังใช้ถุงคลุมหัวอีกชั้นหนึ่งก่อนหลบหนี

...