หลังจาก นสพ.ไทยรัฐ คอลัมน์สกู๊ปหน้า 1 ฉบับประจำวันที่ 3 สิงหาคม 2560 ได้นำเสนอหัวข้อข่าว “กรุสมบัติกรมศุลฯ สินบน–เงินรางวัล” เนื้อหากล่าวถึงกรณีการจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลของกรมศุลกากร จริยธรรมของข้าราชการกรมศุลฯ
และ...คดีพิพาทระหว่างกรมศุลกากรกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่ง
กรมศุลกากร ได้มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเลขที่ กค.0516/11962 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2560 ลงนามโดยนางสาวภัทริยา กุลชล ผู้อำนวยการกลุ่มคุ้มครองและส่งเสริมจริยธรรม ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมศุลกากร ขอชี้แจงประเด็นที่เป็นข่าวดังนี้
ประเด็นที่ 1 กรณีเงินสินบนและเงินรางวัล เงินรางวัลที่สังคมมีความคลางแคลงใจมาเป็นเวลานาน ดังนั้นในการจัดทำ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ ได้มีการแก้ไขหลักเกณฑ์และปรับลดการจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลจากเดิมที่มีการจ่ายร้อยละ 55 จากเงินค่าปรับ และไม่มีการกำหนดเพดานการจ่ายเงินไว้ ทำให้ไม่เกิดความยุติธรรม
...เป็นการจ่ายเงินรางวัลร้อยละ 20 และเงินสินบนร้อยละ 20 (ให้มีการจ่ายได้เฉพาะของที่ลักลอบนำเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมายเท่านั้น) โดยหักจ่ายจากเงินค่าขายของกลาง หรือหักจ่ายจากเงินค่าปรับในกรณีที่ไม่สามารถจำหน่ายของกลางได้
นอกจากนี้ยังมีการกำหนดเพดานโดยกำหนดให้หักจ่ายเป็นเงินสินบนได้ไม่เกินคดีละ 5 ล้านบาท และหักจ่ายเป็นเงินรางวัลได้ไม่เกินคดีละ 5 ล้านบาท และไม่สามารถแบ่งคดีเดียวให้เป็นคดีย่อยๆได้...สำหรับประเด็นนี้ สกู๊ปหน้า 1 ขอเรียนกรมศุลกากรว่า กรณีการปรับแก้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่นั้น สื่อมวลชนทุกแขนงได้เผยแพร่ข่าวสารดังกล่าวอย่างแพร่หลายต่อเนื่องเป็นที่รับทราบกันดีอยู่แล้ว
แต่...ที่นำเสนอคือความเป็นมาของ พ.ร.บ.ศุลกากร ฉบับเดิม ซึ่งบังคับใช้มานานและเป็นมูลเหตุของปัญหาความไม่เป็นธรรมต่างๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรเองถูกฟ้องร้องหรือถูกตรวจสอบเสมอมา หรือมีคดีความระหว่างเอกชนกับกรมศุลกากรที่มีตามมาอีกมากมายหลายคดี จนเป็นที่มาของการแก้ไขปรับเปลี่ยน พ.ร.บ.ศุลกากร ฉบับ 2560 ฉบับใหม่นี้ขึ้นมา
...
ก่อนที่จะแก้ไขปรับเปลี่ยน พ.ร.บ.ศุลกากร 2560 ว่าไปแล้ว...ในบรรดาหน่วยงานที่ได้รับเงินรางวัลนำจับ “กรมศุลกากร” เป็นหน่วยงานที่ได้มากที่สุด ยิ่งเศรษฐกิจดี การนำเข้า-ส่งออกมาก รายได้ยิ่งมาก เพราะอัตราเงินสินบน...รางวัลนำจับสูงถึง 55% ได้มากกว่าภาษีเข้าคลังเสียอีก
สมผล ตระกูลรุ่ง นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ พ.ร.บ.ศุลกากร บอกว่า มีผู้รวบรวมจำนวนเงินรางวัลนำจับของกรมศุลกากรไว้ในช่วงเวลา 12 ปี ระหว่างปี 2542-2553 มีผู้ประกอบการยอมจ่ายค่าปรับให้กรมศุลกากร คิดเป็นเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท...จึงเป็นเงินรางวัลนำจับให้เจ้าหน้าที่และสายสืบ เป็นเงินมากกว่า 15,343 ล้านบาท...เจ้าหน้าที่ที่ได้รับเงินจำนวนนี้ไม่เกิน 300 คน...ส่วนสายสืบนั้นไม่มีข้อมูล
“...มีแต่เสียงร่ำลือหนาหูว่าสายสืบส่วนใหญ่ไม่มีจริง ที่เห็นนั้นเป็นสายสืบเทียม แม้การตามเรียกเก็บภาษีจะไม่มีสายสืบ แต่เจ้าหน้าที่ก็จะสร้างสายสืบขึ้นมารับ เพื่อให้ได้เงินสินบน-รางวัลนำจับครบ 55 เปอร์เซ็นต์” ทนายสมผล บอกอีกว่า เงินสินบน...เงินสินบนรางวัลนำจับ กฎหมายไม่ได้จำกัดว่าต้องมาจากการเสี่ยงชีวิตกลางทะเลหรือตะเข็บชายแดนตามป่าเขา ด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรกลุ่มหนึ่งจึงใช้วิธีการจับผิดแทนการจับกุม
“เพียงแต่หากสามารถตีความให้ผิดได้ แม้จะเป็นการตีความแบบศรีธนญชัย ก็จะเรียกประเมินภาษี เพราะรู้ดีว่าผู้ประกอบการไม่อยากมีเรื่องกับกรมศุลกากร”
ประเด็นที่ 2 กรมศุลกากรได้ชี้แจงกรณีพิพาทการเรียกค่าภาษีอากรกว่าหมื่นล้านบาทระหว่างค่ายรถยนต์หนึ่งกับกรมศุลกากรนั้นเป็นคดีเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2555 และได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลในปี พ.ศ.2558 ปัจจุบันคดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลภาษีอากรกลาง ซึ่งคู่กรณีมีสิทธิ เสรีภาพ และมีศักยภาพในการต่อสู้คดีและดำเนินคดี
ประเด็นนี้...ขอเรียนว่า ด้วยจำนวนเงินค่าปรับมีมูลค่ามหาศาลประกอบกับค่ายรถยนต์ดังกล่าวถือเป็นค่ายรถยนต์ระดับโลก สื่อมวลชนต่างชาติโดยเฉพาะชาติคู่กรณีจับตาเป็นพิเศษ เหตุเพราะผลการตัดสินจะออก มาอย่างไร ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจไทยโดยรวม...
ที่สำคัญ...ความฝันต่อยอดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี อาจไปไม่ถึงฝั่ง...หากเป็นกรณีเจตนาชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ก็น่าสรรเสริญ แต่หากมีเจตนาตีความเพื่อให้ผู้ประกอบการสุจริตต้องเสียภาษี โดยใช้อำนาจตามกฎหมาย ตีความให้เป็นความผิด...
ผู้เชี่ยวชาญ พ.ร.บ.ศุลกากร มองว่า คดีดังกล่าวสังคมและผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะไม่ว่าคำพิพากษาศาลจะออกมาเป็นเช่นไร ภาครัฐก็เกิดความเสียหาย
“คงต้องให้ความเป็นธรรมกับทางเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและค่ายรถยนต์ ถ้ามีการหลีกเลี่ยงภาษีจริง ค่ายรถยนต์ก็ต้องรับผิดชอบ แต่หากไม่ใช่การเลี่ยงภาษี เจ้าหน้าที่ผู้ประเมินจะรับผิดชอบอย่างไร ถ้าค่ายรถยนต์แพ้ ต้องใช้เงินจำนวนมากขนาดนี้...คงย้ายฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านที่พร้อมจะรับการลงทุนอภิมหาโปรเจกต์ขนาดนี้...เพราะเหตุผลคงไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่ค่ายรถยนต์ระดับโลกดังกล่าว ไม่อาจยอมรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรได้”
ผู้เชี่ยวชาญ พ.ร.บ.ศุลกากร ย้ำว่า สำหรับเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ถ้าชนะจะได้รับเงินรางวัลนำจับหลายพันล้านบาท แม้จะแบ่งให้อธิบดีหลายคนทั้งในอดีตและปัจจุบันตามบัญชี แม้จะแบ่งกันทั้งกรมก็คงมีเงินเหลือเป็นกอบเป็นกำ แต่ถ้าแพ้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติก็รับราชการกินเงินเดือนจากภาษีอากรต่อไป โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แถมได้ความดีความชอบไป... แล้วด้วยเหตุผลอย่างนี้ จึงทำให้เจ้าหน้าที่บางกลุ่มบางพวกขยันจนเกินเหตุ?
...
“การขยันโดยทุจริตของข้าราชการบางคน ขอเน้นว่าบางคน เพราะคนที่ดีๆยังมีอยู่ก็เยอะ สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการสุจริตจำนวนมาก เท่าที่ทราบผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ลงทุนด้านอุตสาหกรรมรายใหญ่ จำใจยอมเสียภาษีและค่าปรับจากขบวนการเหล่านี้มานานแล้ว จนปัจจุบันจำนวนภาษีที่ถูกเรียกร้องมีจำนวนสูงมาก ดังกรณีรายค่ายรถยนต์ดังกล่าว ซึ่งจะเป็นกรณีศึกษาที่ภาครัฐจะต้องลงมาปฏิรูประบบการทำงานของกรมศุลกากรให้โปร่งใส” สมผล ว่า
“ในความเป็นจริงแล้ว ปัญหานี้สามารถแก้ไขโดยผู้บริหารของกรมศุลกากรได้มานานแล้ว แต่ใครก็ตามที่แม้จะรู้ปัญหา พอเข้ารับตำแหน่งก็จะมีชื่อเป็นผู้รับผลประโยชน์ก้อนโตจากรางวัลนำจับ ก็จะมองไม่เห็น ปัญหาไม่คิดจะแก้ไข ไม่ยับยั้งขบวนการที่เป็นเหลือบในหน่วยงานแม้จะมีอำนาจแก้ไขได้ก็ตาม”
“เงินรางวัลนำจับ” จึงเป็นดาบ 2 คม ในแง่ดีเป็นการกระตุ้นให้ข้าราชการขยันทำงาน แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งจะทำให้เกิดการใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบของข้าราชการที่มีความโลภ เป็นการใช้กฎหมาย ใช้อำนาจหน้าที่ตามอำเภอใจ
ผลร้ายจะตกกับประเทศที่ทำให้ผู้ประกอบการเห็นว่าข้าราชการไทยไม่มีมาตรฐานในการทำงาน...ถ้าเป็นอย่างนี้คงไม่มีใครอยากจะมาลงทุนเป็นแน่.