“ออมสิน” เมิน “เจ้าคุณพิพิธ” ร้องปลด ผอ.พศ. รับเป็นห่วงหลังนายกฯไม่สบายใจปมเงินทอนวัดทำพระผู้ใหญ่ไม่พอใจ เตือน “พ.ต.ท.พงศ์พร” ทำงาน รัดกุมมากขึ้นแต่ต้องลุยต่อ ส่วนกรณี “พระพยอม” ปูดเรื่องซื้อขายตำแหน่งเจ้าคณะตำบลและเจ้าคณะภาค ถ้ามีหลักฐานข้อมูลพร้อมดำเนินการ ให้ “สุวพันธ์ุ” ยันสั่งการให้ ศอตช.บูรณาการทั้ง ปปง. สตง. และดีเอสไอเข้าตรวจสอบคดีเงินทอนต่อจาก ป.ป.ป.จนกว่าจะเสร็จ ด้าน “พระครูปลัดกวีวัฒน์” วอนสอบสวนวัดอย่างมีกัลยาณมิตร เพราะคดีเงินทอนทั้งอาณาจักรและศาสนจักรต้องรับผิดชอบร่วมกัน องค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทย ร่อนแถลงการณ์ประท้วง เรียกร้องให้เปลี่ยน ผอ.พศ. และให้ทุกวัด โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ขึ้นป้ายไม่รับเงินอุดหนุนจาก พศ.

กรณีกองบังคับการตำรวจปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) เปิดยุทธการปราบโกงวัดที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้ ป.ป.ช.ไปแล้วชุดหนึ่ง และกำลังดำเนินการขยายผลผู้เกี่ยวข้องหลังตรวจพบว่า มีวัดที่ร่วมทุจริตจำนวนมาก สร้างความเสียหายแก่รัฐถึง 60.5 ล้านบาท ขณะที่เรื่องเก่ายังตรวจสอบไม่เสร็จ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดประเด็นการตรวจสอบทุจริตเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาทั่วประเทศขึ้นมาอีก ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าจากทำเนียบรัฐบาลเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 17 ก.ค. นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีพระเทพปฏิภาณวาที ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม หรือเจ้าคุณพิพิธ เรียกร้องให้เปลี่ยนตัว พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ พ้นจาก ผอ.พศ. กรณีการตรวจสอบเงินอุดหนุนวัดจนเสื่อมเสียต่อพระพุทธศาสนาว่า ยังไม่ทราบเรื่อง ขอดูก่อน แต่ส่วนตัวรู้สึกเป็นห่วงการงานของ พ.ต.ท.พงศ์พร ได้หารือกับเจ้าตัวแล้วว่า การทำงานกับคนหมู่มากต้องระมัดระวัง รอบคอบ รัดกุม และให้ ผอ.พศ.ทำงานต่อไป เพราะเป็นการทำตามหน้าที่ ตามกฎหมาย ส่วนใครผิดหรือถูกว่ากันไป ต้องพูดคุยทำความเข้าใจกันเพื่อให้การทำงานราบรื่น ในที่ประชุมการถวายการสนับสนุนกิจการคณะสงฆ์เมื่อวันที่ 12 ก.ค. พระชั้นผู้ใหญ่ไม่ได้พูดถึงการทำงานของ พศ. เพียงแต่เป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดการกระทบกระทั่ง ทำให้วงการสงฆ์ตระหนกกับการทำงานเชิงรุกมากไป นายกรัฐมนตรีก็เป็นห่วงไม่สบายใจ แต่ไม่ใช่ไม่ให้ทำงาน เพราะนายกฯย้ำเสมอให้ทำงานตามกฎหมาย

...

เมื่อถามว่า มีพระผู้ใหญ่หลายรูปที่ไม่พอใจ ผอ.พศ.หรือไม่ นายออมสินตอบว่า เท่าที่ฟังมีเยอะที่ไม่พอใจ เมื่อถามว่า แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องพา ผอ.พศ.ไปขอขมาพระชั้นผู้ใหญ่ใช่หรือไม่ นายออมสิน ย้อนถามว่า “ถึงขั้นต้องขอขมาเลยหรือ” เรื่องบัญชีรายรับรายจ่ายทุกวัดต้องทำจาก 40,700 วัดทั่วประเทศ มีวัดถึง 97 เปอร์เซ็นต์ที่แจ้งบัญชีมา บอกให้ พศ.ทำความเข้าใจกับพระและไวยาวัจกรแล้วว่า เป็นการรายงานบัญชีรายรับรายจ่ายตามปกติ เมื่อถามว่า การตรวจสอบเงินทอนวัดเจอตอหรือไม่ นายออมสินตอบว่า ตั้งแต่ยุคนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ.ที่หนีไปสหรัฐฯ เข้าใจว่าน่าจะทำกันมานาน เป็นขบวนการ ต้องค่อยๆแกะ แต่ไม่ใช่เอาตำรวจ 20-30 นายไปที่วัดจนตกใจ ยืนยันว่าเราไม่หยุด ถ้าหยุดอาจโดนข้อหาละเว้นฯ ม.157 ส่วนกรณีพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ระบุมีการซื้อขายตำแหน่งเจ้าคณะตำบลถึงเจ้าคณะภาค ยังไม่ได้รับรายงาน ต้องไปถามพระพยอม ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรต้องว่ากันอีกที เรื่องนี้ต้องมีข้อมูล พระพยอมคงต้องให้ข้อมูลมากกว่านี้ ถ้ามีข้อเท็จจริงดำเนินการให้ทุกราย

ที่โรงแรมดุสิตธานี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธณะ รมว.ยุติธรรม ฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) กล่าวว่า มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สนับสนุนคดีทุจริตโกงงบฯบูรณปฏิสังขรณ์วัดจาก พศ.ทั่วประเทศ ภายในสัปดาห์นี้จะประชุมร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมา ปปป.เป็นผู้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนมาตลอด แต่ขณะนี้เห็นว่ามีประเด็นซับซ้อนยิ่งขึ้น

ศอตช.พร้อมช่วยตรวจสอบเรื่องดังกล่าว สำหรับการประชุมร่วมกัน ปปป.จะชี้แจงสิ่งที่ทำไปแล้วว่ามีอะไรบ้าง ต้องการให้สนับสนุนเรื่องใดให้คดีสมบูรณ์ บูรณาการทั้ง ปปง. สตง. ดีเอสไอ เข้าตรวจสอบ ส่วนการใช้ ม.44 ศอตช.รับเรื่องจาก สตง.แล้ว แต่ต้องประชุมพิจารณาก่อนเสนอนายวิษณุ เครืองาม เห็นชอบต่อไป ม.44 ต้องใช้ความรอบคอบ ส่วนเรื่องมีพระชั้นผู้ใหญ่ออกมาต่อว่า พศ. ยังไม่ได้รับรายงาน คาดว่าไม่น่ามีเหตุการประท้วงเกิดขึ้น

ด้านพระครูปลัดกวีวัฒน์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ในฐานะรองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีมีการนำมาตรา 44 มาแก้ปัญหาเงินทอนวัด ว่า ถือว่าเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายห่วงใย ส่วนตัวเห็นด้วยกับการแก้ปัญหาทั้งระบบ จัดการต้นตอของปัญหาให้ตรงประเด็น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสการใช้งบฯ ไม่มีผู้ใดคัดค้านการแก้ปัญหา เพราะมีทั้งประจักษ์หลักฐานและพยานบุคคลที่ชัดเจนไม่ได้ซับซ้อน ดังนั้น การแก้ปัญหาควรเป็นไปด้วย กัลยาณมิตรต่อคณะสงฆ์ ที่ดูเหมือนเป็นจำเลยร่วมในสังคม ทั้งที่จริงหน่วยงานของรัฐอย่าง พศ.ที่ขึ้น ตรงกับนายกฯมีปัญหาเช่นกัน ถ้าจะมองว่าบกพร่องควรร่วมกันรับผิดชอบทั้งอาณาจักรและศาสนจักร ยกตัวอย่างวงการทหาร เมื่อเกิดข่าวทุจริต ทหารมีอำนาจตั้งคณะกรรมการสอบสวนเบื้องต้น น้อยครั้งที่องค์กรอิสระอย่างดีเอสไอ ป.ป.ช. ปปป. หรือ สตง.จะลุกขึ้นเปิดโปงวงการทหาร เพราะทหารเป็นสถาบัน ที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ ถ้าขาดความเชื่อมั่น จะส่งผลกระทบโดยรวม เช่นเดียวกับคณะสงฆ์ ถือว่าเป็น 1 ใน 3 สถาบันหลักของชาติเช่นกัน

ขณะที่พระราชวรมุนี เลขานุการคณะกรรมการ ฝ่ายศาสนศึกษา ในฐานะคณะกรรมการประสานงานแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา กล่าวว่า ขณะนี้คณะสงฆ์และพระสังฆาธิการทั่วประเทศตื่นตัวในการทำแผนยุทธศาสตร์ปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาสู่การปฏิบัติ คณะสงฆ์ประชุมขับเคลื่อนการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาไปแล้ว 3 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน จะประชุมวันที่ 19 ก.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานวันเดียวกันว่า กลุ่มไลน์พระสังฆาธิการ กลุ่มคณะสงฆ์ระดับต่างๆ ส่งแถลงการณ์องค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทยฉบับที่ 2/2560 เรื่องการทุจริตเงินอุดหนุนพัฒนาวัดและเงินอุดหนุนการศึกษาสงฆ์ของ พศ. โดยไม่มีการลงนามรับรองจากบุคคลใด สรุปว่า ตามที่ พ.ต.ท.พงศ์พรให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการทุจริตเงินอุดหนุนพัฒนาวัดทั่วราชอาณาจักร ทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย เสมือนเจ้าอาวาสวัดต่างๆเป็นผู้ทุจริตโกงกินงบฯแผ่นดิน ทำให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระพุทธศาสนาทั้งที่ผลสอบยังไม่ปรากฏ การให้ข่าวแบบคลุมเครือแสดงถึงความบกพร่องด้านภาวะผู้นำ หลักธรรมาภิบาล และวุฒิภาวะผู้บริหารระดับสูงองค์กรทางพระพุทธศาสนา กรรมการมหาเถรสมาคมที่ถูกพาดพิงและผู้มีหน้าที่รับผิดชอบกำกับดูแลการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ให้คำแนะนำเพื่อแก้ปัญหาภายใน พศ.โดยเร็ว ดังนั้นจึงแถลงการณ์ให้ทุกวัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯทุกแห่งขึ้นป้ายไม่รับเงินอุดหนุนจาก พศ. จนกว่าจะเปลี่ยนผู้นำหรือผู้นำ พศ.แสดงความรับผิดชอบแก้ปัญหาทุจริตใน พศ.เชิงประจักษ์ก่อน

...