ฤาษี พุทธจรัลกลับถึงไทยหลังไปแสวงบุญอินเดีย เผย ห่วงบ้านเมืองปมวัดพระธรรมกายทำสถาบันสงฆ์แตกแยก แนะนายกฯตู่ ยอมรับ ในความเชื่อของกันและกัน ให้กฎแห่งกรรมตัดสินถูกผิด กฎหมายของรัฐมาบังคับใช้กับพระสงฆ์...
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 2 มี.ค.นี้ ฤาษี ดร.พุทธจรัล พุทธจรัล วัย 75 ปี สำนักอาศรมอมราวตี อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ที่เพิ่งเดินทางกลับจากปฎิบัติธรรมและจาริกแสวงบุญยังจุดต่างๆที่สำคัญทางศาสนาในประเทศอินเดียยาวนานร่วม 3 เดือนเต็ม ได้เดินทางกลับมา ที่อาศรมอมราวตี โดยมีพระสงฆ์สหายธรรมและศิษยานุศิษย์มารอรับ
ฤาษีพุทธจรัล กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ต่างกับคลื่นลมที่มีการเปลี่ยนทิศทางมีขึ้นมีลง ภาพรวมของรัฐบาล คสช.เป็นภาพที่กำลังลงตามกระแสที่มีความขัดแย้ง สื่อต่างๆเห็นว่าสังคมสับสนกับข้อมูลและทิศทางลม จึงให้ความสำคัญอยู่กับปากท้องเป็นปัจจัยหลักเมื่อสังคมขาดสติก็จะมองผลงานของรัฐบาลในภาพลบโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนนิยม เมื่อสี่ห้าเดือนที่แล้วสังคมรวมเป็นหนึ่งมองไปในอนาคตนิยมสถาบันทั้งสาม แต่วันนี้สถาบันสงฆ์แตกแยก ผลที่ตามมาคือตำหนิรัฐบาลที่ไม่ได้ตัดสินใจที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่ออนาคตของชาติ กลับมารวมอยู่บนกองของปัญหาที่นักกฎหมายมีบทบาท แน่นอนที่ผ่านมานักการเมืองที่บริหารรัฐบาล เห็นว่าเงินหรือปากท้องมาเป็นเป็นอันดับต้น ส่วนรัฐบาลทหารจะมองว่าความถูกต้องและการอยู่รอดของอนาคตเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้การเงินเศรษฐกิจและปากท้องอาจจะไม่ฟุ่มเฟือยดั่งอดีต
แต่รัฐบาลทหารก็สามารถนำประเทศไปอยู่บนเส้นทางของความถูกต้อง และยุติธรรมและมีอนาคตซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มองเห็นและสนับสนุน ปัญหาหลักของชาติวันนี้ก็ คือ ปัญหาความแตกแยกของสถาบันสงฆ์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจำต้องรีบตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกที่ควร คือ ยอมรับ ในประเด็นของธรรมกายว่า เขามีสิทธิ์ที่จะเชื่อและสอนตามนั้น ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราไม่มีสิทธิ์จะไปตัดสินคนอื่น กฏธรรมชาติย่อมรู้ดีกว่าใครผิดหรือถูก กฎแห่งกรรมจะทำหน้าที่ของแทน นายกฯตู่จะต้องไม่หูเบา และมองว่าสถาบันธรรมกายมีวิสัยทัศน์และได้ทำประโยชน์ต่อสัตว์โลกมากมาย ตามกำลังสติปัญญาที่มี ขอบอกว่าหากวิธีการสอนและหลักปรัชญา ไม่เป็นไปตามครรลองของพุทธศาสนา ก็คงจะไม่ได้รับความศรัทธามากขนาดนี้ รัฐบาลให้ฐานะพ่อจะไม่ทำร้ายครอบครัวของตัวเอง
...
นอกจากนี้อภัยก็ยังเป็นเอกลักษณ์ของพุทธที่ชาวโลกนิยมชมชอบมาตลอด ส่วนศรัทธาของวัดธรรมกายก็ต้องมีสติ และพร้อมที่จะยอมรับกติกาของสังคม และของกรรม จึงควรสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ที่ถูกกดดันจากฝ่ายปกครองอย่างหนักมาตลอด คือตั้งสติแผ่เมตตาให้กำลังใจกัน และกัน จัดให้มีการแปลเม็ดได้อย่างต่อเนื่องนั่งสมาธิสวดมนต์และมีเครื่องดื่มอาหารของหวานคอยต้อนรับทหาร ตำรวจและเจ้าหน้าที่ด้วยอย่าลืมว่าบุคคลเหล่านี้เป็นพุทธศาสนิกชน ย่อมรู้ดีว่าการมาทำร้ายศาสนามิบังควรหนึ่งด้วยหน้าที่การงานก็ดีเป็นคำสั่ง ของผู้บังคับบัญชา ช่วยกันพลิกกระแสทำร้ายทำลายให้เป็นกระแสสร้างสรรค์ นั่นคือชัยชนะของรัฐบาลและของธรรมกายและที่สุดคือชัยชนะของสยามประเทศขอพรจากองค์พระสยามเทวาธิราชจงประสิทธิ์ประสาทพรอันศักดิ์สิทธิ์ปกป้องชาติบ้านเมืองด้วยเทอญ
สำหรับเหตุการณ์ในสังคมสยามปัจจุบันแน่นอนสร้างความวิตกกังวลให้กับหลายหน่วยงานหลายระดับ เพราะว่าเรากำลังต่อสู้กับกับอวิชชา หรือกิเลสเรากำลังตัดสินคนอื่น ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะมองว่าใครถูกหรือใครผิด เพราะมันมีกระแสกรรมคอยสะกิดให้สรรพสิ่งดำเนินไปตามที่ควรจะเป็นหน้าที่หลักของวัดธรรมกาย ณ วันนี้ต้องยอมรับว่าสังคมเริ่มมองภาพด้านลบเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะว่าสื่อสามารถขายความรู้สึกนึกคิดได้อย่างเป็นรูปธรรม สิ่งที่ผู้นำของวัดธรรมกายน่าจะประเมินและตัดสินใจ คือ มองไปที่อนาคตของชาติของสถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ยอมที่จะรับความจริงและเปิดเผยให้สังคมได้รับทราบ ออกปรากฏตัวสร้างลัทธิใหม่ขึ้นความสงบก็จะปรากฏ และท่านจะเป็นผู้ที่มีชัยชนะ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็ คือ บุคคลรอบข้างที่มีอำนาจในวัดธรรมกายจะเป็นผู้กำหนดทิศทาง ทั้งนี้ก็เพราะว่าผลประโยชน์ทางโลกมหาศาล เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่าท่านเจ้าอาวาสคือผู้ชนะจึงต้องยอมรับในกติกาที่สังคมส่วนหนึ่งกำหนดขึ้น โดยไม่คำนึงถึงอนาคตที่กำลังตามเพราะพลังธรรมพลังบุญที่วัดธรรมกายได้สะสมมาจะช่วยเปลี่ยนสถาณการณ์ให้ชาติบ้านเมืองเดินหน้าต่อไป
"ส่วนรัฐบาลหรือดีเอสไอควรจะปฏิบัติต่อสถาบันสงฆ์โดยรวม อย่างที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ที่มีศรัทธาอยู่เป็นเบื้องต้น อย่าลืมว่า ชาติสยามอยู่ยงมาจนถึงวันนี้เพราะมีสถาบันศาสนา และแรงศรัทธาอยู่เบื้องหลัง ปราศจากจากศรัทธาชาติกว่าจะล้ม ระบบต่างๆจะล้ม ผลที่สุดสังคมก็จะไม่มีที่ยืน ท่านในฐานะตัวแทน ของผู้ปกครองหรือรัฐบาลจะต้องคำนึงถึงเรื่องอนาคตของชาติ คณะสงฆ์เขามีกฏธรรมชาติเป็นวิธี ท่านจะนำกฎของรัฐบาลมาบังคับเขานั้น มีบังควรการที่จะนำกฎหมายของรัฐมาบังคับให้กฎของสงฆ์" ฤาษี ดร.พุทธจรัล กล่าว.