หลังความพยายาม ถ้อยทีถ้อยอาศัย ขอหมายศาล เข้าไปภายในวัดพระธรรมกาย เพื่อค้นหาตัว พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย หนึ่งในผู้ต้องหา ร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร คดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ประมาณ 1,400 ล้านบาท ที่ในเวลานี้กำลังอยู่ระหว่างการหลบหนีหมายจับ ประสบกับความ “ไม่ราบรื่น” เพราะมีทั้งแรงต่อต้านขัดขืน สารพัดแท็กติกลูกเล่น สุดก้ำกึ่ง ที่เจ้าหน้าที่แทบจะต้องกางตำรากฎหมาย ตีความ เสียด้วยซ้ำไปว่า เป็นการขัดขืน หรือไม่ขัดขืน การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ เรื่อยไปจนกระทั่งถึงการสร้าง วาทกรรมที่โลกต้องตะลึง อย่าง
“พระเดชพระคุณหลวงพ่อ จะไม่มอบตัว จนกว่าประเทศจะได้ประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์”
ท่ามกลางเสียงขานรับ สาธุ และเสียงปรบมือมืออย่างชอบอกชอบใจ ของ คณะศิษยานุศิษย์ ที่พร้อมใจกันสวมแว่นตาดำและหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า นั่งสวดมนต์กลางสายฝน ล้อมเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เอาไว้อย่างเข้มแข็ง
เมื่อต้องประสบกับความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องในความพยายาม บังคับใช้กฎหมาย จนทำให้ประชาชนส่วนหนึ่ง ตั้งคำถามเบอร์ใหญ่ๆ ใส่หน้า ว่า สรุปแล้ว จะปล่อยให้มีการ ตั้งรัฐอิสระขนาด 2,000 ไร่ ขึ้นในประเทศไทย หรือฝ่ายรัฐ มีแต่ “ขนมจีนเปล่าๆ” ในการบังคับใช้กฎหมาย กับพระบางรูป ใช่หรือไม่?
ด้วยเหตุนี้ การประกาศใช้ “ดาบอาญาสิทธิ์ มาตรา 44” ในช่วงกลางดึกของวันที่ 16 ก.พ. ออกคำสั่งเด็ดขาดให้ วัดพระธรรมกาย เป็นพื้นที่ควบคุม ก่อนระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เกือบ 4 พันนาย เข้าไปค้นหา พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ ศิษยานุศิษย์บางท่าน กล่าวอ้างว่า มี ฤทธานุภาพ กฤษฎาภินิหาร ถึงขนาด สามารถทำอะไรหลายอย่าง ที่มนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้ เช่น “ต่อให้อยู่ก็มองไม่เห็น หรือเห็นแล้วก็เป็นอย่างอื่น”
...
ฤาคงเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือไม่? ที่ตลอดการเข้าค้นหลายวันที่ผ่านมา จึงไม่พบ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ และบรรดาภิกษุระดับแกนนำของวัดพระธรรมกาย แม้แต่ “เงา”
พบเห็นเพียงสาธุชนและภิกษุสวมใส่หน้ากากอนามัยจำนวนหนึ่ง รวมถึง ทีมโฆษกพระเพียง 2 รูป ที่มีกายเนื้อให้สามารถสัมผัสจับต้องได้ “ออกหน้ารับ” เจ้าหน้าที่รัฐแทน
จนทำให้เกิด “สารพัดคำถาม” ในสังคมไทยตามมามากมาย ว่า แท้ที่จริงแล้ว “พระเดชพระคุณหลวงพ่อ” ท่านยังอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย หรือหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วกันแน่?
รวมไปจนกระทั่งถึงเหตุใด การเข้าไปค้นภายในวัด ทั้งๆ ที่ มีดาบอาญาสิทธิ์อยู่ในมือแล้วแท้ๆ ถึงยังไม่สามารถจัดการกับ “สารพัดแท็กติก” ที่นำมาใช้ ล่อหลอก ท้าทาย และทำให้เกิดความสับสน ไม่ต่างจาก “กลศึก” ของ กุนซือขงเบ้ง ในวรรณกรรมสามก๊ก ให้มันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อให้มันสิ้นสงสัยกันไปเสียทีว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน ยังอยู่ หรือไม่อยู่ ภายในวัดพระธรรมกาย กันแน่?
คำถามที่ทุกคนใคร่อยากรู้ ว่า ตลอดระยะเวลาเข้าทำการค้นภายในวัด ด้วยพลานุภาพของดาบอาญาสิทธิ์ ม.44 ของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องเผชิญกับอะไร พบเห็นอะไรเป็นที่น่าสังเกต ถึงการมีอยู่ หรือไม่มีอยู่ บนดินแดนลี้ลับ 2,000 ไร่ โดย แหล่งข่าวท่านหนึ่ง ของทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ในการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่บนดินแดนลี้ลับแห่งนี้
“พี่บอกตรงๆ นะ วันแรกที่ไป พี่ก็คิดเหมือนที่ใครๆ คิดนั่นแหละ ในเมื่อเจ้าหน้าที่ส่งกำลังมาล้อมไว้ หลายต่อหลายครั้งแล้ว ใครจะยังกล้าหลบซ่อนตัวอยู่ที่นั่นกันอีก และเอาจริงๆ เจ้าหน้าที่ที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 16 ก.พ. เกิน 80% เชื่อว่า “บุคคลเป้าหมาย” คงไม่อยู่ในวัดพระธรรมกาย แล้ว”
แต่แล้วเมื่อพี่ได้เข้าไปทำงานในพื้นที่จริง ความคิดทุกอย่างก็เปลี่ยนไปทันที!
เพราะพี่ได้พบเห็นอะไรบางอย่าง ที่ทำให้น่าคิดได้ว่า บุคคลเป้าหมาย น่าจะยังอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย

ไขปริศนา รวมพลบุกวันแรก ไฉน วัดพระธรรมกาย ยอมร่วมมือ เข้าไปภายใน สุดง่ายเกินคาดหมาย
พี่ว่า...มันมีความเป็นไปได้สูง ที่คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย อาจจะคาดการณ์สถานการณ์ผิด เนื่องจากในความพยายามขอเข้าตรวจค้นวัดที่ผ่านๆ มา เมื่อเจอการต่อต้านอย่างแข็งขัน ฝ่ายเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรง มักจะยุติการพยายามเข้าไปภายในวัดเสมอ
ทำให้การปฏิบัติการในวันนั้น ฝ่ายศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย จึงคิดว่า เจ้าหน้าที่ก็คงจะไม่จริงจัง ที่จะเข้าไปภายในวัดอีก ทำให้การป้องกันต่างๆ อ่อนด้อยลง รวมถึงการสะสมกำลังคนภายในวัด เพื่อเตรียมรับมือด้วย
...
นอกจากนี้ หลังจากมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ได้บุกเข้าไปภายในวัดได้แล้ว ความพยายามป่าวประกาศเชิญชวนให้คนเข้ามาเสริมกำลัง ก็ยังไม่ได้ผลมากนัก เพราะคณะศิษยานุศิษย์ส่วนใหญ่ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ก็คง “ไม่เอาจริงอีกเหมือนเดิม!”
ขณะเดียวกัน การบุกครั้งนี้ มันต่างออกไป ฝ่ายเจ้าหน้าที่มีการสนธิกำลังจำนวนมาก เขาคงประเมินแล้วเห็นว่า เมื่อตัวเองตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ มีการเตรียมพร้อมทางด้านกำลังพลไว้รับมือได้ไม่ดีพอ จึงเล่นบท “จำยอม” โอนอ่อนตามเจ้าหน้าที่ ให้สามารถเข้ามาตรวจค้นภายในวัดได้ แม้จะเป็นที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่า ในท่วงท่า เล่นบท “จำยอม จำใจ” ยินดีให้เข้าค้นได้นั้น บรรดาคณะพระคุณเจ้าทั้งหลายที่เดินไปกับเจ้าหน้าที่ จะมีการบันทึกคลิป และสอบถามถึง ชื่อ-นามสกุล ยศ ของหัวหน้าชุดทุกคนที่เข้าค้นในแต่ละจุด
แต่ในยามเมื่อฝ่ายเจ้าหน้าที่ จะให้พระคุณเจ้าเหล่านั้น ลงนามรับรองการปฏิบัติงานบ้าง เหล่าพระคุณเจ้า จะพูดเหมือนๆ กันหมด ว่า ไม่เอาๆ ไม่เซ็นๆ ไม่อยากยุ่ง
ผงะ! เจอกำแพง 2 ชั้น ม็อบพระคุณเจ้า 3 ชุด เข้าสกัด หลังเฉียดเข้าใกล้พื้นที่ VIP
โดยในช่วงแรก การเข้าค้นทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แต่แล้ว ท่าทีที่แต่แรก ดูเหมือนจะ “จำยอม” ก็เปลี่ยนไปในทันที!
เพราะหลังจากเสร็จสิ้นการตรวจค้นพระอุโบสถ และมีการเดินรุกคืบเข้าไปเฉียด โซน 19 พื้นที่ ที่ว่ากันว่าเป็นพื้นที่ของ บุคคล VIP วัดพระธรรมกาย
หะแรกเลย จู่ๆ ก็พบเห็นความผิดปกติก็คือ พระที่อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ประมาณ 30-40 รูป ที่มาพร้อม “เครื่องแบบ” ที่ดูคุ้นหูคุ้นตา ชาวพุทธสยามประเทศ ในเวลานี้เสียเหลือเกิน คือ พระคุณเจ้า ท่านมาพร้อมกับมีหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าทุกรูป เริ่มตั้งแถว ขวางถนน ที่จะเข้าไปภายในพื้นที่ดังกล่าว
...

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ... เบื้องหลังของ “ม็อบพระคุณเจ้า” กลับปรากฏมี กำแพงรั้วสังกะสีสีเขียวใหม่เอี่ยมอ่อง ที่เห็นด้วยสายตาก็รู้ได้ทันที ว่า “ไอ้รั้วสังกะสี” ที่โผล่ขึ้นมาขวางหน้านี้ มันต้องถูกสร้างขึ้น เมื่อไม่นานมานี้แน่นอน!

เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ล่วงรู้ด้วยสัญชาตญาณ เลยว่า
...
“มันต้องมีอะไร ที่ไม่ธรรมดา”
เพราะคำถามคือ “ไอ้กำแพงสังกะสีสีเขียว” ใหม่เอี่ยมอ่อง ไม่ต่างจาก กำแพงเมืองล้อมวัง ที่ขวางทางเข้า-ออก นี้ มันถูกสร้างขึ้นมา เพื่อวัตถุประสงค์อะไรกันล่ะ?
แต่ด้วยความที่ไม่อยากมีเรื่องมีราวกับ “ม็อบพระคุณเจ้า” เหล่านั้น ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ ที่เดินมากันเป็นกลุ่ม จึงได้แตกคณะกระจายกำลังกันออกไป เพื่อเดินออกจากถนน เลี่ยง “ม็อบพระคุณเจ้า” ที่กำลังเรียกระดมพลตั้งแถววางกำลัง 2 ชั้น ขวางทางอยู่ เพื่อเสาะหาจุดที่สามารถผ่านกำแพงสังกะสีนี้ไปให้ได้ ซึ่งเมื่อเห็นว่า มีจุดหนึ่งที่มีช่องโหว่น่าจะใช้เครื่องมือดึงสังกะสีออก เพื่อเปิดทางให้เดินเข้าไปต่อ
และคำขอร้อง นิมนต์เหล่าพระคุณเจ้า ให้ช่วยเปิดประตูทางออกให้ “ไม่ได้รับความร่วมมือ” จึงมีการออกคำสั่ง “ลุย” ฝ่ากำแพงชั้นแรก มุ่งหน้าต่อไปทันที!

แต่...ใครจะรู้ว่า การเมิน “ม็อบพระคุณเจ้า” ชุดแรก เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ นั่นคือหนึ่งในการตัดสินใจที่ “ผิดพลาด”
“ผิดพลาด”...เพราะไปต้องกลศึกของฝ่ายตรงข้ามเข้าจังเบอร์!
เมื่อสู้อุตส่าห์เดินเลี่ยงหลบ “ม็อบพระคุณเจ้า” ตัดโซ่ฝ่ากำแพงสังกะสีชั้นแรกมาได้สำเร็จ ชนิดรวดเร็วกว่าความคาดหมาย เพื่อมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แต่แรก คือ กุฏิที่คาดว่าน่าจะเป็น ที่พำนักของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เพียงไม่กี่เมตร ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ถึงกับต้องเกิดอาการตามภาษาวัยรุ่นที่เรียกกันว่า “เงิบ”
ก็จะไม่ “เงิบ” ไปได้ยังไง?
ก็เพิ่งเดินผ่าน “ม็อบพระคุณเจ้า” ชุดแรกมาหมาดๆ นับเพียงไม่ทัน “ชั่วเคี้ยวหมากแหลก” ก็มาเจอกับ “ม็อบพระคุณเจ้า” หนุ่มฉกรรจ์คณะที่ 2 พร้อมหน้ากากอนามัย เครื่องแบบประจำตัว ตั้งแถวหน้ากระดาน 3-4 ชั้น มีกำลังพลร่วมร้อยรูป ยืนเด่นเป็นสง่า อยู่หน้ากำแพงรั้วสังกะสีสีเขียวชั้นที่ 2

มีกำแพงชั้นที่ 2 ขวางทางอยู่อีก พร้อม “ม็อบพระคุณเจ้า” ชุดที่สอง
เอาล่ะสิ! เจอทั้งพระ ทั้งกำแพงสังกะสีชั้นที่ 2 ขวางหน้า ฝ่ายเจ้าหน้าที่จะทำอย่างไร? เราต้องไปติดตามกันต่อ...
เมื่อสถานการณ์พลิกผัน ผิดคาดแบบนี้ ยังไม่ทันที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ จะได้ทันตั้งตัวติด ก็ปรากฏว่า “ม็อบพระคุณเจ้าชุดแรก” ที่แต่เดิมยืนเรียงรายขวางถนนอยู่ ก็ค่อยๆ เร่งฝีเท้าเดินตลบมาสมทบ แล้วแบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปเข้าล้อมอยู่ทางด้านหลังเจ้าหน้าที่ ขณะที่อีกส่วนแบ่งกำลังไปสมทบ “ม็อบพระคุณเจ้าชุดที่สอง” ที่ยืนขวางกำแพงสังกะสีอยู่ เพื่อเป็นการเสริมกำลังให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นไปอีก!
นอกจากนี้ ช่วงแนวเดียวกันในจุดที่ไร้กำแพงสังกะสี มีคูน้ำระยะกว้างพอสมควรขวางทางอยู่ แต่ด้วยสายตาประเมินแล้วว่า น่าจะพอว่ายน้ำข้ามไปได้นั้น ฝั่งตรงกันข้าม ก็พบเห็นว่า มี “ม็อบพระคุณเจ้า” อีกชุด ตั้งแถวขวางตลิ่งรออยู่ด้วย! เรียกว่า โดนล้อมทุกทิศทาง

เจอยุทธวิธีตั้งค่ายกลศึก ประหนึ่ง ค่ายกลพยุหะ 8 ประตู ปักกัวติ๋น ของ ขงเบ้ง แบบนี้ กว่าที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่จะตั้งตัวติด ก็ใช้เวลานานพอสมควรเลยทีเดียว
“ตอนนั้น พี่คิดในใจว่า พลาดแล้วกู รู้งี้แบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปล้อม ม็อบพระคุณเจ้าชุดแรก เอาไว้ก่อนก็ดี เพื่อตัดการเคลื่อนกำลังพล เข้ามาตลบหลัง ล้อมตีกรอบได้แบบนี้” แหล่งข่าวเล่าให้ทีมข่าวฟัง ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

แต่เมื่อตัดสินใจได้ว่า เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน ต้องเดินหน้าต่อไป จึงมีการกระจายกำลังกัน ออกไปค้นหาจุดอ่อนตามแนวกำแพงสังกะสีที่เหยียดยาวทันที เพื่อหวังใช้แผนเดิม
“เลี่ยงม็อบ หาช่องโหว่ ฝ่ากำแพง ชั้น 2”
เมื่อตระเวนกันได้สักพักพอเหนื่อย เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ก็พบจุดที่มีช่องโหว่ให้สามารถใช้เครื่องมือตัดผ่านเข้าไปได้ จึงได้รีบนำเครื่องมือไปดำเนินการทันที!
แต่แล้ว ขณะที่กำลังก้มหน้า ลงไปทำหน้าที่ของตัวเอง ก็ถึงกับต้องผงะ!
เพราะเมื่อใช้เครื่องมือดึงแนวรั้วสังกะสี ให้เกิดช่องโหว่พอที่จะมุดลอดเข้าไปได้ ขณะที่กำลังจะมุดศีรษะลอดช่องออกไปนั้น ก็เห็นประจักษ์ด้วยสายตาว่า มีม็อบพระคุณเจ้าชายฉกรรจ์ พร้อมผ้าปิดหน้า ชุดที่ 3 ยืนตั้งแนวขวางอยู่อีกชั้นเข้าไปอีก และอีกเพียงไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นเอง...
“ส้นเท้า” ของพระคุณเจ้าท่านหนึ่ง ก็ถูกส่งออกมา ผ่านช่องดังกล่าว “เฉียด” ใบหน้าเจ้าหน้าที่ไปอย่างหวุดหวิด พร้อมกับเสียงอื้ออึง จาก “ม็อบพระคุณเจ้า” ชุดที่ 3 ที่อยู่หลังกำแพง และทุกครั้งที่ เจ้าหน้าที่พยายามมุดผ่านช่องดังกล่าว ก็จะปรากฏ “ส้นเท้า” จากพระคุณเจ้าท่านใดบ้างก็ไม่รู้ ถูกส่งออกมาขัดขวางเสียทุกครั้งไป
เมื่อเห็นว่า การใช้ “บาทาพิทักษ์ธรรม” ของหลวงพี่ทั้งหลาย เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะขัดขวางการปฏิบัติงาน เมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นใดแล้ว เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง...จึงตัดสินใจเอามือคว้า “ส้นเท้า” ของพระคุณเจ้าที่ขัดขวาง เพื่อให้ยุติการกระทำดังกล่าว
แต่แล้ว...สิ่งที่ตามมาเหมือนนัดกันไว้ ก็คือ เสียงจาก พระคุณเจ้าด้านหลังกำแพง ต่างพร้อมใจกันตะโกนโหวกเหวกเสียงดังออกมาทันทีว่า
“อย่าดึงขาพระ อย่าทำร้ายพระๆ อย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ๆ”
พร้อมกับมีการใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิป ช่วงเวลาดังกล่าว เช่นที่ปรากฏ ครึกโครมในโลกโซเชียลมีเดีย ทั้งๆ ที่การกระทำของเจ้าหน้าที่ เพียงแค่ประสงค์ให้ พระคุณเจ้าเหล่านั้น ยุติการใช้ “บาทาพิทักษ์ธรรม” พุ่งเข้าเฉียดหน้า ขัดขวาง เจ้าหน้าที่ แค่นั้น
“สิ่งที่พวกพี่เคืองที่สุด ก็คือ คลิปที่ว่านี้ ทำไมถึงมีการตัดออกนำเสนอ เฉพาะแค่ช่วงเหตุการณ์ที่พระถูกคว้าขา เหตุใดผู้ที่เผยแพร่ จึงไม่นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก มาให้สาธารณชนได้รับทราบทั้งหมด ว่า ความจริงคืออะไร?” แหล่งข่าว ถ่ายทอดให้ทีมข่าวฯ ฟังถึงช่วงเวลานั้น แบบมีอารมณ์เล็กน้อย
ขอบคุณคลิป Amity Channel

เมื่อเห็นท่าไม่ดี เจ้าหน้าที่จึงยุติการปฏิบัติงานลงชั่วคราว พร้อมกับ ส่งทีมส่วนหนึ่งและเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ไป “เจรจา” กับ “ม็อบพระคุณเจ้า” เพื่อขอเปิดทาง ให้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า พระคุณเจ้า จะขอเวลาสำหรับการสวดมนต์ เป็นเวลา 30 นาที จากนั้นจะเปิดทางให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นบริเวณดังกล่าว ที่เป็น “เป้าหมายสำคัญ” ของการค้นในวันที่ 16 ก.พ.
มีกำแพง 2 ชั้น “ม็อบพระคุณเจ้า” 3 ชุด สกัด บวกกับ ขอเวลา สวดมนต์อีกประมาณ 30 นาที ได้เวลาไปเกือบ 1 ชั่วโมง
ทำไปเพื่ออะไร...? นี่คือ คำถามที่น่าสนใจ ทำไมต้องประวิงเวลาให้ทอดนาน ขนาดนั้น...
เมื่อเหล่าพระคุณเจ้า สวดมนต์ครบ 30 นาที จนเป็นที่พอใจแล้ว ประตูจึงได้ถูกเปิดออก ให้เจ้าหน้าที่เดินเข้าไปตรวจค้น “จุดเป้าหมาย”
ไปถึงจุดเป้าหมายแล้ว เจ้าหน้าที่ได้พบเจออะไรบ้าง มีเงื่อนงำอะไรที่น่าสงสัยหรือไม่ โปรดติดตามกันต่อในตอนต่อไป วันพรุ่งนี้!
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน