ตำรวจเป็นอาชีพที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท สถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ตั้งแต่โบราณมีหลักฐานในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงโปรดเกล้าฯให้จัดระเบียบการปกครองบ้านเมืองเป็น 4 เหล่า เรียกว่า จตุสดมภ์ ได้แก่ เวียง วัง คลัง นา ให้มีตำรวจขึ้นอยู่กับกรมเวียง มีหน้าที่ปราบปรามโจรผู้ร้ายและรักษาความสงบในบ้านเมือง มีสมเด็จพระยาจักรีศรีองครักษ์ สมุหนายก อัครมหาเสนาบดี เป็นผู้บังคับบัญชา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จัดตั้งกองตำรวจขึ้นเป็นครั้งแรกตามแบบอย่างของยุโรปเรียกว่า กองโปลิศ โดยจ้างชาวมลายูและชาวอินเดีย เป็นตำรวจเรียกว่า คอนสเต เปิล ให้มีหน้าที่รักษาการณ์แต่ในเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน และขึ้นอยู่ในสังกัดกรมพระนครบาล
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ปรับปรุงกองโปลิศ และจัดตั้งตำรวจภูธรขึ้นเป็นทหาร เป็นกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยในส่วนภูมิภาค และให้ปฏิบัติการทางทหารได้ด้วย

กองทหารโปลิศ ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นกรมตระเวนหัวเมือง และได้จัดตั้งกรมตำรวจภูธรขึ้นแทนกรมกองตระเวนหัวเมือง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้มีการรวบรวมกิจการตำรวจมาเป็นกรมเดียวกัน เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2458 เรียกว่า กรมตำรวจและกรมพลตระเวน ปลายปีได้เปลี่ยนชื่อเป็น กรมตำรวจภูธร และกรมตำรวจนครบาล ยกฐานะของเจ้ากรมขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย
...
ต่อมาได้รวมกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงพระนครบาล เป็นกระทรวงเดียวกัน เรียกว่ากระทรวงมหาดไทย กรมตำรวจภูธรและกรมตำรวจนครบาล โอนมาขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย จนปี พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนชื่อกรมตำรวจภูธร เป็นกรมตำรวจ และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.2552
จนถึงทุกวันนี้ มีภารกิจสำคัญทุกยุคทุกสมัย มีหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ ถือเป็นภารกิจสำคัญที่สุดของเหล่าข้าราชการตำรวจ
สถาบันพระมหากษัตริย์ มีพระมหากรุณา ธิคุณกับข้าราชการตำรวจอย่างหาที่สุดมิได้

โดยเฉพาะใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงพระเมตตาและทรงห่วงใยข้าราชการตำรวจเสมอมา ในยามที่บ้านเมืองมีเหตุความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศ มีภัยคอมมิวนิสต์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระศรีนครินทราบรม ราชชนนี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนและพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ให้กับตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ทุรกันดาร ในพื้นที่เสี่ยงภัยเต็มไปด้วยภยันตราย
สิ่งที่ตราตรึงในใจตำรวจอยู่เสมอมาคือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2538 ที่ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จสวรรคต ใจความว่า “สมเด็จย่าสิ้นแล้วอย่างสงบที่สุด สมเด็จย่ารักตำรวจมาก ช่วยดูแลงานต่างๆ ของตำรวจอย่างดี เป็นการสมควรที่ตำรวจทุกคนจะได้ปฏิบัติหน้าที่โดยเข้มแข็ง อย่างสุดความสามารถเพื่อประเทศชาติ เพื่อจะได้เป็นพระราชกุศลต่อสมเด็จย่าต่อไป”
วันที่ 13 ตุลาคม 2559 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต ซึ่งถือว่าเป็นวันคล้าย วันสถาปนากรมตำรวจ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่ามกลางความเศร้าสลดอย่างหาที่สุดมิได้ของเหล่าพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ข้าราชการทุกหน่วยงานที่เป็นข้าราชการใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โดยเฉพาะเหล่าข้าราชการตำรวจ 2.3 แสนนายทั่วประเทศ
เป็นเครื่องเตือนใจ เตือนสติ ในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจทุกนาย ยึดถือแนวทางพระราชดำริ และพระ ราชดำรัสเป็นแนวทางดูแลทุกข์สุขพสกนิกรของพระองค์ท่าน ด้วยความเป็นธรรม เสมอภาค และเท่าเทียมกัน

...
“ภารกิจที่สำคัญอย่างที่สุดของข้าราชการตำรวจคือ การถวายความปลอดภัยและอารักขาพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ตลอดจนพระราชอาคันตุกะ ที่เสด็จเยือนประเทศไทย เป็นหน้าที่ตำรวจถือปฏิบัติมายาวนาน เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวนจนถึง ผบ.ตร.ต้องทำหน้าที่เหมือนกัน การถวายงาน แม้จะถือว่าเป็นหน้าที่อันสูงสุดของข้าราชการตำรวจ แต่ถือว่าเป็นความประทับใจและความภาคภูมิใจของข้าราชการตำรวจทุกนาย พร้อมถวายงานอย่างที่สุดทุกพระองค์” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ย้ำถึงนโยบายสูงสุดของตำรวจ
“สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสแก่ปวงชนชาวไทยทุกครั้ง ทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน มี 3 เรื่องที่เป็นหัวใจสำคัญคือ 1.ขอให้พี่น้องคนไทยมีความสามัคคี ไม่แตกแยกขัดแย้งกันเอง 2.ขอให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว 3.ขอให้สนับสนุนให้คนดีได้มาปกครองบ้านเมือง เป็นหลักคิด
ที่เป็นประโยชน์กับตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ เพียงแต่เราจะเดินตามรอยพระองค์ท่านได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าทุกคนนำสิ่งเหล่านี้ไปปฏิบัติจริงในชีวิตได้ 70-80 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าทำได้แล้วชีวิตมีความสุข บ้านเมืองไปได้ จะไม่เกิดปัญหาแบบนี้เป็นสายพระเนตรที่ยาวไกลของพระองค์ท่านที่ทรงเตือนสติคนไทย ไม่อยากเห็นคนไทยทะเลาะกัน แตกความสามัคคี อยากให้คนดีๆมาปกครองบ้านเมือง ขอทุกคนคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมให้มาก จะทำให้ประเทศพัฒนาไปได้ เพราะเหตุการณ์ในอดีตที่คนไทยต้องเสียบ้านเสียเมือง เพราะคนไทยแตกแยก ขาดความสามัคคี ซึ่งบ้านเมืองไทยไม่ได้มีข้าศึก ไม่มีปัญหาภายนอกแต่ที่คนไทยเผาบ้านเผาเมืองกันเพราะความแตก “สามัคคี” และคิดถึงประโยชน์ของตัวเอง มากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม”
...
ผบ.ตร.บอกว่า “วันนี้คนไทยทุกหมู่เหล่าได้ รวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ การเดินทางมาที่บริเวณท้องสนามหลวงเพื่อร่วม ถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และบอกว่า จะทำดีเพื่อพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ด้วยความรักสามัคคี ไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย ถ้าวันนั้นทุกคนได้คิดถึงพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส คงไม่มีเหตุการณ์อย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา วันนี้น่าจะเป็นเวลาที่คนไทยเดินตามรอยคำสอนทำให้ข้ามไปข้างหน้าให้ได้”

“พระองค์ท่านไม่ได้รับสั่งโดยตรงให้ตำรวจดูแลพี่น้องประชาชน แต่สิ่งที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนพสกนิกรในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดาร ห่างไกล ยากลำบาก และมีภยันตรายขนาดไหน เพราะทรงห่วงใยในทุกข์สุขของปวงชนชาวไทย ทุกครั้งที่มีราษฎรมีความเดือดร้อนขอยื่นถวายฎีกาอะไรที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ ได้มอบหมายให้ตำรวจ เข้ามาช่วยเหลือดูแล ซึ่งตำรวจได้สนองพระราชดำรัส ทุกเรื่อง สิ่งที่พระองค์ท่านทำเพื่อคนไทยทุกคนที่ถือเป็นราษฎรของพระองค์ท่าน ตำรวจทุกคนต้องตระหนักในภารกิจหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ให้สมพระเกียรติ ดูแลทุกข์สุขของพี่น้องคนไทย ทำแบบถวายชีวิต ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ให้เกิดความเป็นธรรม เสมอภาค เท่าเทียมกัน ไม่มีแบ่งชนชั้น ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน” เป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ผู้นำตำรวจที่ได้ถวายงานในการดูแลความปลอดภัยพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
...
และทำหน้าที่ดูแลพสกนิกรซึ่งเป็นราษฎรของพระองค์ท่าน.
ทีมข่าวอาชญากรรม