ชีวิตนี้ต้องมาสักครั้ง... ตามรอยพระบาท ณ “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” สถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง ที่ “พ่อหลวงรัชกาลที่ ๙” เสด็จฯ ประทับ ทรงงาน และเสวยพระกระยาหารใต้ชะง่อนผา ร่มเงาท่ามกลางความแห้งแล้ง จวบจนเขียวชอุ่มดังปัจจุบัน
หากพูดถึง “ดอยอ่างขาง” หลายคนคงจะเคยมาเยี่ยมชมความงามทัศนียภาพทิวทัศน์ พันธุ์ไม้นานาชนิดบนสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง สถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง บนพื้นที่บ้านคุ้ม ม.5 ต.แม่งอน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และศึกษาการทำเกษตรตามแนวพระราชดำริของ "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร" สถานที่ทดลองปลูกไม้เมืองหนาวนานาชนิด จากที่ทุรกันดารกลายเป็นโครงการหลวงอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร...
...
ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปกับการบินไทย ที่จัดกิจกรรมที่ดีที่สุดกิจกรรมหนึ่งขึ้นคือ "เดินตามทางรอยพ่อ อยู่อย่างเพียงพอสู่เชียงใหม่" ด้วย BOEING777-300ER เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 59 และเดินทางขึ้นดอยอ่างขาง วันรุ่งขึ้น (29 พ.ย.) โดยมี นายมณพัฒ ยานนท์ นักประชาสัมพันธ์สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นผู้ให้ความรู้และนำชมสถานที่ที่พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 เคยเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้านผักไผ่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และได้เสด็จฯ ผ่านบริเวณดอยอ่างขาง ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าชาวเขาส่วนใหญ่ที่อยู่บริเวณนี้ปลูกฝิ่นแต่ยังยากจน ทั้งยังทำลายทรัพยากรป่าไม้ ต้นน้ำลำธารที่เป็นแหล่งสำคัญต่อระบบนิเวศ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนอื่นของประเทศได้
...
...
...
ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อซื้อที่ดินและไร่จากชาวเขาบริเวณดอยอ่างขางส่วนหนึ่ง จากนั้นโปรดเกล้าฯ ตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์เมื่อ พ.ศ.2512 ทรงแต่งตั้งให้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งประธานมูลนิธิโครงการหลวง ใช้เป็นสถานีวิจัยและทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่างๆ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขานำไม้ผล ผัก ไม้ดอกเมืองหนาว มาเพาะปลูกเป็นอาชีพ ต่อมาทรงพระราชทานนามว่า “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” เช่นปัจจุบัน และเป็นสถานีวิจัยไม้ผลเมืองหนาวที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ที่ดำเนินการศึกษาวิจัยและขยายพันธุ์พืชชนิดต่างๆ อาทิ พีช สาลี่ พลับ พลัม บ๊วย กีวี่ และสตรอเบอร์รี่ ที่ไม่ว่าใครที่มีโอกาสได้ขึ้นไปเยี่ยมสถานที่แห่งนี้ ต้องไม่พลาดหาซื้อติดไม้ติดมือกลับมา ซึ่งผลผลิตจากโครงการหลวงจะมีที่มาชัดเจน สามารถตรวจสอบกลับมายังต้นทางได้ว่าเป็นของเกษตรกรรายใด พื้นที่ไหน เพื่อความมั่นใจของผู้บริโภค
ปัจจุบันโครงการหลวงมีสถานีวิจัย 4 แห่ง ประกอบด้วย สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อ.ฝาง สถานีเกษตรหลวงปางดะ อ.สะเมิง สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ อ.จอมทอง และสถานีวิจัยโครงการหลวงแม่หลอด อ.แม่แตง โดยมีศูนย์พัฒนาโครงการหลวง 38 ศูนย์ ในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคเหนือตอนบน คือ จ.เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน และตาก ล่าสุดกำลังดำเนินการศูนย์ที่ 39 ใน อ.แม่ระมาด จ.ตาก และได้ทดลองปลูกพืชเขตหนาวไปแล้วทั้งหมดกว่า 350 ชนิด ทั้งนี้ พ.ศ. 2535 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โครงการหลวงจดทะเบียนเป็นมูลนิธิโครงการหลวง โดยพระราชทานเงินเพื่อเป็นทรัพย์สินของมูลนิธิฯ เริ่มแรก 500,000 บาท ให้เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ถาวรมั่นคง สามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีระบบงานที่แน่นอนรองรับ มีการบริหารงานภายในคล่องตัว มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเกิดผลดียิ่งขึ้นในอนาคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงดำรงตำแหน่งนายกกิตติมศักดิ์ และ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ทรงเป็นประธานมูลนิธิ โดยมี ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นเลขาธิการมูลนิธิ โดยงบประมาณจะขึ้นอยู่กับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.)
มีสิ่งหนึ่งในความประทับใจมากมายหลังจากได้เห็นสถานที่ประทับของพระองค์ครั้งเสด็จทรงงานเมื่อ พ.ศ.2516-2518 ซึ่งอยู่ใต้ชะง่อนผา ส่วนโต๊ะเสวยพระกระยาหารก็เป็นแคร่ไม้ไผ่ธรรมดาๆ โดยใช้ร่มเงาจากผาบังแดด เพราะขณะนั้นยังไม่มีต้นไม้ปกคลุมหรือให้ร่มเงาได้อย่างปัจจุบัน ก่อนที่ต่อมาจะเสด็จประทับบริเวณหลังสโมสรอ่างขาง ซึ่งพระองค์เสด็จมายังดอยอ่างขางตั้งแต่ พ.ศ.2512-2537 รวมไม่ต่ำกว่า 15 ครั้ง ประทับเฮลิคอปเตอร์มาในช่วงบ่าย และเสด็จกลับในช่วงค่ำ โดยไม่เคยประทับแรม ทำให้นึกย้อนไปว่าในวันที่พื้นดินยังไม่มีอะไร ยังไร้ความเจริญ พระองค์ทรงเล็งเห็นและนำพาความเจริญมายังที่แห่งนี้ ชาวเขา เกษตรกรได้อาชีพเลี้ยงตัวมีรายได้ที่มั่นคงโดยไม่ต้องปลูกฝิ่นทำลายทรัพยากรธรรมชาติ พื้นที่ได้รับการฟื้นฟูจนมีแต่ความร่มรื่น ไหนจะนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาชมความสวยงามและเพิ่มรายได้ให้คนพื้นที่อีกทางหนึ่ง
เมื่อถาม นายมณพัฒ ผู้เคยเฝ้าฯ รับเสด็จและถวายงานรัชกาลที่ 9 ว่า รู้สึกอย่างไรในวันที่ทราบข่าวการเสด็จสวรรคต ชายผู้นี้ตอบเราด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “รู้สึกเสียใจ วันนั้นผมร้องไห้ รู้สึกว่าเราเสียเสาหลักไป พระองค์ทรงทำบุญคุณให้แผ่นดินมากมายมหาศาล แก้ไขปัญหาเพื่อให้พสกนิกรอยู่ดีกินดีในทุกหัวระแหง ทรงทำตั้งแต่นภา ภูผา สู่มหานที ท่านไม่มีวันหยุดเหมือนอย่างข้าราชการ เราในฐานะที่เป็นข้าของแผ่นดินก็ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเกิด สืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ต่อไป มีผู้ใหญ่เคยชวนผมไปทำงานในสวนจิตรลดา แต่ผมคิดว่าถ้าอยู่ที่นี่ (ดอยอ่างขาง) ช่วยท่านได้ ก็จะขออยู่ตรงนี้ จะตั้งใจทำด้วยใจบริสุทธิ์ ผมจะทำงานที่นี่จนเกษียณ แต่ถ้าเกษียณแล้วยังสามารถช่วยเหลือได้ก็จะยังทำเช่นนี้ต่อไป”
หลายสิ่งที่พ่อทำ หลายอย่างที่พ่อสร้าง และอีกมากมายที่พ่อดำริริเริ่ม เพื่อให้เราชาวไทยทุกคนร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ เกษตรกรรวมถึงชาวเขามากมายมีชีวิตที่ดี มีความสุข ไม่มีหนี้ เพราะยึดถือเดินตามแนวทางของพระองค์ อยู่อย่างพอเพียงและเพียงพอ ในวันนี้ที่พระองค์เสด็จสวรรคต ยังทรงทิ้งโครงการพระราชดำริมากมายจนเหลือคณานับ ทิ้งรอยพระบาทที่เคยยาตราไปในทุกหนแห่งจนกลายเป็นความเจริญให้เห็นจับต้องได้ แม้วันนี้เราจะไม่ได้เห็นพระองค์ด้วยตา แต่เราสามารถสัมผัสได้ด้วยใจ เชื่อว่าพระองค์จะสถิตอยู่ในหัวใจตราบนิจนิรันดร์ ส่วนตัวผู้เขียนนั้น นึกขอบคุณที่ได้มีโอกาสตามรอยพระบาทสักครั้ง ณ ที่แห่งนี้ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง...
ขอบคุณข้อมูลและคลิปจาก นายมณพัฒ ยานนท์ นักประชาสัมพันธ์สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง www.royalprojectthailand.com www.angkhangstation.com