“ถ้าพิจารณาจากประวัติศาสตร์ของท่านแล้ว ก็เข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใด คนไทยจึงฉงนสนเท่ห์เมื่อมีผู้กล่าวว่า ท่านถูกอเมริกาหรือประเทศใดก็ตาม “ใช้ให้เป็นประโยชน์” หรือ “วางอำนาจบงการ” แท้ที่จริงแล้ว ไทยและสหรัฐฯกำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เราพบกันบนถนนซึ่งจุดหมายปลายทางก็คือ สันติภาพและอิสรภาพของประชาชาติทั้งมวล เราชาวอเมริกันภูมิใจที่ได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่าน ซึ่งได้ออกเดินทางบนถนนสายนี้มาก่อนเรา...เราทราบดีถึงภยันตรายที่เราทั้งสองต้องเผชิญ แต่เรามีความเชื่อมั่นและมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน”
…นี่คือคำกล่าวของ นายลินดอน บี. จอห์สัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนแรกที่มาเยือนประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2509 ซึ่งเป็นการเยือนเพื่อช่วยกันส่งเสริมความร่วมมือในการป้องกันลัทธิคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน
ประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา นับว่ามีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน 183 ปี หรือ เกือบกว่า 2 ศตวรรษ ทั้งร่วมค้าขาย ให้ความร่วมมือด้านต่าง ๆ กับประเทศพญาอินทรีมาอย่างต่อเนื่อง หากจะจำกันได้ ครั้งล่าสุด ที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเดินทางมาเยือนประเทศไทย ก็เมื่อปี พ.ศ.2555 ที่ นายบารัค โอบามา ได้เดินทางมาพร้อมคณะเคยได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งการมาเยือนไทยในครั้งนั้น อยู่ระหว่างช่วงวันที่ 18-19 พฤศจิกายน โดยเดินทางมาพร้อมกับ นางฮิลลาลี คลินตัน อดีต รมว.ต่างประเทศ ซึ่งการเข้าเฝ้าฯ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ในครั้งนั้น ก็มีนัยสำคัญคือ เพื่อเน้นย้ำว่าสองชาติมี “ความสัมพันธ์” ที่แนบแน่นนั่นเอง
...
ย้อนประวัติความสัมพันธไมตรี ไทย-สหรัฐฯ เริ่มต้น สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.3
สัมพันธไมตรี ระหว่าง สยามประเทศ กับ สหรัฐอเมริกา ต้องย้อนไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2376 ในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งบรมราชวงศ์จักรีวงศ์อันมีกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี
ในปีนั้น ประธานาธิบดีแจ็คสัน ส่งนาย เอ็ดมันด์ โรเบิตส์ เป็นทูตมาขอทำสัญญาทางการค้ากับไทย โดยในหลวงรัชกาลที่ 3 ได้ส่งข้าราชการ เวียง วัง คลัง นา สลับหมุนเวียนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ทำให้ความสัมพันธ์ราบรื่นแน่นแฟ้น
ขณะเดียวกัน ก่อนที่สหรัฐฯจะทำสัญญาการค้ากับไทย คณะมิชชันนารีอเมริกัน เป็นชาติแรกที่นำศริสต์ศาสนาลัทธิโปรเตสแตนท์เข้ามาเผยแผ่ในเมืองไทย โดยเริ่มต้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2371 ได้มีมิชชันนารี ชื่อ “ทอมลิน ชาลส์ คุตสลัฟ” (คนไทยเรียกหมอกิศลับ) และ เรเวอร์เรนด์เอบีล หลังจากมิชชันนารี เข้ามาในสยามแล้ว ก็เล็งเห็นว่า นี่แหละ...คือดินแดนที่เหมาะแก่การประดิษฐานศาสนาคริสต์
ประธานาธิบดีพญาอินทรี เยี่ยม เยือน ในหลวง รัชกาลที่ 9
อย่างไรก็ดี หากจะให้เล่าในส่วนของประวัติศาสตร์นั้น ก็คงจะยาวมาก ดังนั้น ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงอยากโฟกัสในมุมในหลวง รัชกาลที่ 9 กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ...
ทุกคนคงจะทราบดีว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพ ที่โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และเคยเสด็จเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ประธานาธิบดีหลายท่าน ก็เคยเดินทางมาเป็นพระราชอาคันตุกะ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ส่วนจะมีใครบ้าง ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอหยิบยกมาดังนี้
…สามสิบปี หลังจาก พระราชสมภพ ในหลวงได้มีพระราชวโรกาสเสด็จกลับไปเยือนสหรัฐฯครั้งแรก พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชโอรส พระราชธิดาสี่พระองค์ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2503 โดยเสด็จพระราชดำเนินเยือน นครนิวยอร์ก วอชิงตัน บอสตัน เทนเนสซี โคโลราโด ลอสแอนเจลิส และฮอนโนลูลู ที่กรุงวอชิงตัน พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินวางพวงมาลา ณ สุสานแห่งชาติ อาร์ลิงตัน และพระราชทานพระราชดำรัสต่อสภาคองเกรสอันทรงเน้นถึง “สัมพันธไมตรีอันดีและความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างประเทศของเราทั้งสอง”
...
หนังสือพิมพ์ในนิวยอร์ก พาดหัวข่าวถึงขบวนพาเหรดสายรุ้งต้อนรับพระองค์พร้อมด้วยพระบรมราชวงศ์ ทั้งยังรายงานข่าวการทรงดนตรีร่วมกับ “ราชาเพลงสวิง” เบ็นนี่ กู๊ดแมน เป็นเวลาชั่วโมงครึ่งอีกด้วย
การเยือนบอสตัน เป็นสิ่งที่ประทับอยู่ในพระราชหฤทัยพระองค์ ได้ทรงเยี่ยม และทรงมีพระราชปฏิสันถารกับคณะแพทย์และพยาบาลที่ถวายพระประสูติกาล เมื่อปี พ.ศ.2470 แล้วได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนอพาร์ตเมนต์ ในเคมบริดจ์ ซึ่งเป็นที่ประทับแห่งแรกของพระองค์
...
ในการเสด็จเยือนครั้งที่ 2 ในหลวง และพระราชินี ได้เสด็จประพาสเมื่อ พ.ศ.2510 ครั้งนี้ได้ทรงประกอบพิธีเปิดศาลาไทย ในบริเวณศูนย์อีสต์เวสต์ เซ็นเตอร์ ฮอนโนลูลู เสด็จพระราชดำเนินทรงรับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยวิลเลียมส์ คอลเลจ ในแมสสาชูเสตส์ และเสด็จเยือน ประธานาธิบดีจอห์นสันและภรรยาอย่างเป็นทางการ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอห์สัน นับเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนแรกที่มาเยือนประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2509 ซึ่งเป็นการเยือนเพื่อช่วยกันส่งเสริมความร่วมมือในการป้องกันลัทธิคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน และได้กล่าวดังความข้างต้นของบนความ ว่าแท้ที่จริงแล้ว “ไทยกับสหรัฐฯ” กำลังเดินเคียงบ่าเคียงไหล่บนเส้นทางเดียวกัน
ในปี พ.ศ.2512 นายริชาร์ด เอ็ม. นิกสัน ได้เดินทางเยือนประเทศไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแก่ ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน และ ภริยา ที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2512
...
จากนั้น เป็นต้นมา ประเทศไทย และสหรัฐฯ ก็มีความร่วมมือด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องแน่นแฟ้น กระทั่ง วันที่ 31 พฤษภาคม 2539 ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ได้ทูลเกล้าฯ ถวายสาส์น แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวโรกาสที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี มีใจความว่า
“เพียงแต่การที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงครองราชย์มาเป็นเวลานานที่สุดในโลก ก็นับเป็นเหตุผลซึ่งควรถวายความชื่นชมยินดีอยู่แล้ว แต่ก็หาเพียงเท่านั้นไม่ เพราะยังมีเหตุผลอื่นอีกนานัปการซึ่งควรแก่การถวายราชสดุดี นับตั้งแต่ปีแรกๆ แห่งการเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย พระองค์ได้ทรงเป็นผู้นำทางให้ประชาชนชาวไทยผ่านฟันฝ่าต่อสู้กับความยากจน อีกทั้งภยันตรายที่คุกคามความมั่นคงปลอดภัยของชาตินานาประการ พระองค์ทรงนำประเทศไทยก้าวสู่ความสงบสุข มีความเจริญรุ่งเรือง มีการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนาประชาธิบไตยให้ดีขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งปัจจุบัน ประเทศไทยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงประเทศหนึ่ง”
อีก 6 เดือนต่อมา ประธานาธิบดีคลินตันก็ได้มีโอกาสถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยตนเองด้วย
“โอบามา” เข้าเฝ้าฯ “ในหลวง” ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสืออัลบั้มภาพพระบรมฉายาลักษณ์
วันที่ 18 พ.ย.55 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จออก ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งมีนายณรงค์ฤทธิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เชิญประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและคณะ มายังห้องเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสัมผัสพระหัตถ์กับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ และนางคริสตี เคนนี เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย (ขณะนั้น)
จากนั้น ในหลวง มีพระราชปฏิสันถารกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและคณะ ก่อนที่จะพระราชทานของขวัญแก่ประธานาธิบดี จากนั้น นายบารัค โอบามา ทูลเกล้าฯ ถวาย ของขวัญแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนที่คณะของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทูลลา ในเวลา 17.40 น. รวมเวลาเข้าเฝ้าฯ 47 นาที
สำหรับของที่ขวัญที่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้แก่ ภาพเขียนศิลปะเป็นรูปธงชาติสหรัฐฯ ขนาด 35.5×50.5 นิ้ว และอัลบั้มภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ในโอกาสเสด็จฯเยือนสหรัฐอเมริกา และทรงพบกับประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในสมัยต่างๆ ซึ่งเป็นงานที่ทำด้วยมืออย่างประณีต
ส่วนของขวัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่นายบารัค โอบามาคือหนังสือ 3 เล่ม ได้แก่ 1.Heart of the Kingdom 2.From Royal Initiatives 60 year of the people’s Happiness Under the Royal Aegis และ 3.A Memoir of His Majesty King Bhumibol Adulyadej of Thailand นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทาน ผ้าไหมแพรวาแก่ภริยาประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจำนวน 1 กล่องด้วย
นี่คือเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ สหรัฐฯ ที่มีความปึกแผ่นแน่นแฟ้นตลอดมา...
ขอบคุณที่มาภาพ - หนังสือความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2376 ฉบับกาญจนาภิเษกสมโภช