บรรดาเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 กับพสกนิกรในพระองค์มีมากมายหลายเหตุการณ์ ที่นำมาซึ่งความปลื้มปีติประทับใจมิรู้ลืมแก่พสกนิกรผู้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ หรือได้รับใช้ใกล้ชิดแทบเบื้องพระยุคลบาท

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเหล่านั้น สามารถหาอ่านได้จากหนังสือที่ทรงคุณค่าหลายเล่ม...อาทิ “ใกล้เบื้องพระยุคลบาท” “ร้อยเรื่องในรอยจำ” และ “อัครมหาราชา ปิ่นฟ้าคมนาคม” เป็นต้น

บางเรื่องหลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อน หรืออาจเคยได้ยินมาบ้าง...แต่นานแล้ว โอกาสนี้คอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” ขอน้อมนำมาเล่าขาน เพื่อน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่านด้วยความทรงจำแห่งรอยยิ้ม

เริ่มจากเรื่องราวอันน่าประทับใจที่ชาวกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ต่างเล่าขานกันถึงน้ำพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านมาตราบจนทุกวันนี้ ในแง่ที่พระองค์ทรงห่วงใยขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ผู้น้อย ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารอยู่เป็นนิจ

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ 43 ปีที่แล้ว มีพนักงานรับส่งวิทยุชั้นผู้น้อยของเขตการทางพิษณุโลกคนหนึ่ง ชื่อ นางจันทร์สม อินทร์พิรมย์ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เธอเป็นเพียงเจ้าหน้าที่รับส่งวิทยุชั้นผู้น้อย แต่มีอาวุโสกว่าใคร ทั้งยังมีความรับผิดชอบงานในหน้าที่สูง คือพร้อมจะทำงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งหนใด แม้กระทั่งยามจะนอน เธอก็ยังนำวิทยุสื่อสารติดตัวไปด้วยเสมอ

บรรดาพนักงานวิทยุของกรมทางหลวงทั่วประเทศ จึงต่างเรียกขานเธอว่า “พี่ใหญ่”

เรื่องนี้ พลตรีประถม บูรณศิริ อดีตรองอธิบดีกรมทางหลวง เคยเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงชมเชยการปฏิบัติงานของนางจันทร์สมเป็นอย่างมาก โดยมีรับสั่งถามว่า “พี่ใหญ่” คือใคร ทั้งยังได้ทรงรับสั่งให้ศูนย์สื่อสารสวนจิตรลดาส่งวิทยุชมเชย “พี่ใหญ่” ว่า

...

ปฏิบัติงานดี มีความสามารถ รับฟังข่าว และผ่านข่าวให้หน่วยงานอื่นที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล อยู่ในเขตคุกคามของผู้ก่อการร้ายอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา

กระทั่งวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2516 ขณะที่ “พี่ใหญ่” และพนักงานวิทยุกรมทางหลวงในภาคเหนือกำลังปฏิบัติหน้าที่ จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงรหัสเรียกขานทางวิทยุสื่อสารที่ไม่คุ้นเคยดังมาจากเครื่องรับว่า

“พิษณุโลก พิษณุโลก”

แต่ “พี่ใหญ่” ก็ยังไม่ได้ขานตอบ เพราะเห็นว่าเสียงนี้ตนไม่เคยได้ยินมาก่อน

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่” เมื่อเธอได้ยินเสียงเดิมเรียกซ้ำมาอีกครั้ง คราวนี้ “พี่ใหญ่” จึงขานรับ “ตอบค่ะ ไม่ทราบว่าจากไหนคะ”

เสียงจากปลายสายตอบกลับไปว่า “จากเดโชชัย 1”

คราวนี้ “พี่ใหญ่” ถึงกับชะงัก เธอเรียกทุกศูนย์วิทยุให้รีบปรับคลื่นไปที่ช่อง 12 ระหว่างนั้นตัวเธอเองได้รวบรวมความกล้า แล้วถามย้ำกลับไปอีกครั้งว่า

“จากเดโชชัย 1 นะ”

ผู้ฟังทุกคนเงียบกริบ...เพื่อรอฟังคำตอบจากปลายทาง ทว่าในหัวใจทุกดวงเต้นระทึกเหมือนจะหลุดออกมานอกอก เพราะทราบดีว่า รหัสเรียกขาน “เดโชชัย 1” คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

แทนคำตอบ “เดโชชัย 1” พระราชทานพรปีใหม่ด้วยพระสุรเสียง อันทำให้ผู้ฟังขนลุกซู่!!

“สวัสดีปีใหม่ พี่ใหญ่และเจ้าหน้าที่วิทยุทุกคน ขอให้มีความสุขตลอดทั้งครอบครัว ให้มีพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง ปลอดภัย มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ สวัสดี”

เรื่องวิทยุสื่อสาร ยกให้ “พี่ใหญ่” ผู้เป็นตำนาน แต่ถ้าเป็นเรื่องของช่างภาพนอกวังที่มีโอกาสได้บันทึกพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างใกล้ชิดไว้มากมาย ต้องยกให้ คุณจำนงค์ ภิรมย์ภักดี อดีตประธานกรรมการบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว)

ในฐานะที่คุณจำนงค์มีโอกาสได้ถวายงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อย่างที่ไม่ค่อยมีผู้รู้กันครั้งหนึ่งคุณจำนงค์เคยให้สัมภาษณ์แก่ สำนักข่าวทีนิวส์ ว่า

เขาชอบถ่ายภาพแนวพอร์เทรต (ภาพบุคคล) มากที่สุด และผลงานที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจที่สุดก็คือ พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 ที่เขาเป็นผู้ถ่าย ซึ่งพระองค์ทรงโปรดภาพดังกล่าว

“ครั้งแรกที่ผมมีโอกาสฉายพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัว ใหม่ๆก็รู้สึกเกร็ง แต่ตอนหลังก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เพราะพระองค์พอพระราชหฤทัยในผลงานของผม พระองค์ท่านเองก็โปรดการถ่ายภาพมาก ภาพที่พระองค์โปรดที่สุดคือ พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ภาพของราษฎร และภาพทิวทัศน์ที่ทรงบันทึกไว้ในระหว่างเสด็จฯเยี่ยมราษฎร”

คุณจำนงค์เล่าว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้แสงหรือการจัดไฟในลักษณะต่างๆ ซึ่งเขาเองได้เรียนรู้จากพระองค์หลายเรื่อง พระองค์ท่านมีพระราชปฏิสันถารแลกเปลี่ยนเรื่องการถ่ายภาพกับเขาบ่อยครั้ง บางครั้งทรงนำภาพฝีพระหัตถ์กับภาพที่เขาถ่ายมาทอดพระเนตรเปรียบเทียบกัน

คุณจำนงค์ยังได้เล่าถึงความประทับใจในการถวายงานถ่ายภาพว่า วันหนึ่งระหว่างยืนเข้าแถวส่งเสด็จ มีแขกบ้านแขกเมืองมาร่วมมากมาย รัชกาลที่ 9 ทรงพระดำเนินตรงเข้ามา พอเขาถวายคำนับ เงยหน้าขึ้น ทรงยื่นพระหัตถ์มา แล้วรับสั่งว่า “เอาไปล้าง อัดมาให้ด้วย”

“พอกลับถึงบ้าน ผมไม่รู้เอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน เข้าห้องมืดล้างอัดฟิล์มส่วนพระองค์ม้วนนั้นจนถึงเช้า ทุกวันนี้ยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่รู้ลืม ประทับใจมากๆ” เขาเล่า

ไม่เพียงเท่านั้น ช่วงบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งทำงานอยู่ที่บริษัทก็มีโอกาสครั้งสำคัญเข้ามา มีโทรศัพท์โทร.มาแจ้งว่า มีรับสั่งให้เขาไปฉายพระรูปที่พระบรมมหาราชวัง เขากังวลใจว่าจะเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้วไปทันหรือไม่ โชคดีตอนนั้นมีนายดาบตำรวจคนหนึ่งอยู่ตรงหน้าบ้านพอดี จึงขอให้นำทางไปยังวังหลวง

...

“พอถึงพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯลงแล้ว ผมยังเห็นช่างภาพฝรั่งยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่ เพราะไฟฉายพระรูปของเขาเกิดขัดข้อง”

“จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชประสงค์จะฉายพระรูปที่พระทวารอีกภาพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผินพระพักตร์มารับสั่งว่า ให้เวลาเตรียมตัว 5 นาที ตอนนั้นแม้อุปกรณ์ไม่ครบกับเวลาอันเร่งรีบ แต่ก็ถือว่าพระรูปนั้นเป็นพระรูปที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม”

“เพราะคราใดที่มีพระราชอาคันตุกะต่างประเทศเข้าเฝ้าฯ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานรูปให้เป็นของที่ระลึก โดยมีผมเป็นผู้ถวายงานในการอัดขยายพระรูปนี้เสมอมา”

จำนงค์เล่าว่า เขาได้เก็บภาพเหตุการณ์ที่ยังคงตราตรึงในความทรงจำไว้ มิรู้ลืม.