คงจะอุ่นใจขึ้นมาได้สักหน่อยแล้ว สำหรับชาวกรุงเทพฯ​ และปทุมธานี โดยเฉพาะสมาชิกคนไร้บ้านที่ยึดอาชีพเก็บของเก่าไว้ขาย หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจโชว์ฝีมือตามรวบ "จิมมี่" หรือ บัง หนุ่มเมียนมา วัย 20 ปี ผู้ต้องหาสุดเหี้ยมลงมือ "ฆ่าต่อเนื่อง" รวม 4 ศพ ซึ่งล่าสุด ผลตรวจ DNA บนเสื้อผ้าตรงกับของเหยื่อจาก 2 ใน 4 ราย ส่วนหญิงอีก 2 รายกำลังรอพิสูจน์ทราบ ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น “อาสาม ไทม์แมชชีน” แห่ง ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ไล่เรียงไว้ให้อ่านกันแล้ว...นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยกับ "ตำรวจนักสืบ" มาร่วมไขความลับของจิตใจฆาตกรด้วย ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้น อย่ารอช้า...เริ่มกันเลย!

มัด แทง เชือด ฆาตกรเหี้ยมโผล่สยองปทุมฯ ล็อกเป้า "คนเร่ร่อน"

เหตุสุดสะเทือนขวัญครั้งนี้ ไม่เหมือนกับฆ่าต่อเนื่องอย่างรายอื่นๆ อย่างในอดีต ต้นตำรับความโหด "สมคิด พุ่มพวง" เจ้าของฉายา "สมคิด เดอะริปเปอร์" ที่ฆ่าหมอนวดนักร้องคาเฟ่ 5 ศพ เป็นอย่างน้อย ภายในระยะเวลา 6 เดือน แต่สำหรับ คดีที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้แตกต่าง เพราะเป็นการก่อเหตุแบบต่อเนื่องภายในไม่กี่วัน

ปฐมบทเริ่มต้นเมื่อ...วันที่ 4 ตุลาคม 2559 ร.ต.อ.ธีรเดช สังสีแก้ว ร้อยเวร สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ รับแจ้งพบ 2 ศพชายถูกฆ่าทิ้งไว้ระหว่างช่องทางด่วนคู่ขนานขาเข้าถนนวิภาวดีรังสิต และศพหญิงถูกฆ่าทิ้งบริเวณลำคลองหน้าสถาบันธัญรักษ์ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี

...

สิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ปักใจเชื่อว่า คนร้ายน่าจะเป็นคนๆ เดียวกันก็คือ "วิธีการ" สภาพศพ นายเอ็ม ชายอาชีพเก็บของเก่า อายุประมาณ 30 ปี มือสองข้างถูกมัดไพล่หลังด้วยสายไฟ ศีรษะถูกตีด้วยของแข็งเป็นแผลยาวประมาณ 10 ซม. ลำคอถูกแทงด้วยของมีคม ยาวประมาณ 10 ซม. ที่กำแพงพบคราบเลือดกระเด็น สยดสยองเหมือนกับฉากฆาตกรรมสุดโหดในหนังระทึกขวัญ และตามลำตัวยังพบรอยถูกลาก

เหยื่อรายที่สองเป็นหญิง...ห่างจากศพแรกประมาณ 100 เมตร "อ้วน" ชื่อของสาววัย 25-30 ปี ตำรวจรู้เพียงชื่อเล่นของเธอเท่านั้น ส่วนสภาพที่พบ เธอต้องตายอย่างน่าเวทนาในร่องคลอง ตามร่างกายถูกแทงด้วยของมีคม 3 แผล แต่ละแผลล้วนโดนจุดสำคัญ คือ กลางท้อง กลางหน้าอก และราวนมซ้าย มือทั้งสองข้างถูกมัดด้วยผ้าอย่างแน่นหนา และที่สำคัญ เธอถูกปิดตาด้วยผ้าอีกด้วย!...ปิดไว้ทำไม เธอรู้จักคนร้ายหรือ หรือต้องการทิ้งร่องรอยสิ่งใด...?

"เพื่อนร่วมอาชีพ!..." คือ ข้อสันนิษฐานแรกจากตำรวจ สงสัย ว่า "ฆาตกรโหดรายนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ เพื่อนที่เก็บของเก่าด้วยกัน

แต่ยังไม่ทันได้คำตอบในคดีแรก คล้อยหลัง 2 วัน เหยื่อรายที่ 3 ก็ถูกพบ...ห่างจากจุดเดิมประมาณ 80 เมตร เจ้าหน้าที่พบศพ นายเสถียร ศรชัย อายุ 40 ปี สิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่และผู้ที่ได้พบเห็นต้องช็อกก็คือ สภาพศพที่ใกล้เคียงกับ 2 ศพแรก คือ ถูกมัดมือไพล่หลัง เหยื่อที่ถูกเลือกคือ "คนเก็บของเก่า" อีกแล้ว...บาดแผลถูกเชือดคอ แทงหน้าท้อง 1 แผล มีรอยมีดที่แก้มซ้าย 3 แผล และยังเป็นศพใหม่ๆ คาดว่า ตายไม่เกิน 3 ชม. สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รอบข้างไม่มีร่องรอยการต่อสู้ คาดว่าขณะที่ฆาตกรใจเหี้ยมลงมือ อาจใช้เวลาตอนที่เขาหลับอยู่

นักฆ่ามาจักรยาน...!?

หลังเกิดซ้อนๆ 2 เหตุการณ์ 3 ศพ ในพื้นที่รับผิดชอบ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ มีหรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จะอยู่เฉยได้ ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งการส่งกำลังลงพื้นที่เพื่อควานหาตัวผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ยังได้หลักฐานสำคัญมานั่นก็คือ "ภาพวงจรปิด" ที่จับภาพผู้ต้องสงสัยได้ ซึ่งเป็นชายนุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อสีน้ำเงิน ได้ปั่นจักรยานย้อนศรมาจากทางเขต อ.คลองหลวง มุ่งหน้าถนนพหลโยธิน ซึ่งต่อมา เจ้าหน้าที่ก็สามารถจับกุม นายบัง ไว้ได้ และยอมรับว่า "เป็นคนในภาพวงจรปิดจริง แต่ผมไม่ได้ฆ่า..."

...

ถึงแม้จะจับผู้ต้องสงสัยได้ แต่ก็ต้องผงะ...กับภาพที่ผู้คนผ่านไปผ่านมาได้เห็นบริเวณใต้สะพานข้ามแยกลาดพร้าว ตรงจุดกลับรถมุ่งหน้ากระทรวงพลังงานใกล้ป้อมงานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิต ในวันที่ 9 ต.ค. และมีการคาดหมายว่านี่คือ ศพที่ 4

จุดเกิดเหตุเป็นลานดิน มีรั้วตาข่ายเหล็กล้อมรอบอยู่ใต้สะพานข้ามแยกดังกล่าว พบศพหญิงอายุประมาณ 40-50 ปี นอนคว่ำหน้า มือทั้งสองข้างถูกทับอยู่ใต้ลำตัว ใส่เสื้อสีแดง ไม่สวมกางเกง ชุดชั้นในถูกถอดวางไว้ข้างๆ นอนขึ้นอืดเสียชีวิตมา 2-3 วัน (แสดงว่าวันเกิดเหตุ อาจจะเป็นช่วงวันที่ 6-7 ผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมตอนค่ำวันที่ 7 ต.ค.) ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ใกล้ศีรษะผู้ตายพบก้อนอิฐขนาดใหญ่ 2 ก้อน มีคราบเลือดติดอยู่ เจ้าหน้าที่ต้องกันผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่

เมื่อแพทย์พลิกศพขึ้นมาชันสูตร พบผู้ตายนอนทับผ้าสีส้มผืนใหญ่คล้ายจีวรพระสงฆ์และมีดทำครัวปลายแหลมเปื้อนเลือดยาวประมาณ 9 นิ้ว 1 เล่ม เบื้องต้นผู้ตายถูกแทงด้วยของมีคมที่ชายโครงซ้าย ขมับซ้ายและขวาอย่างละ 1 แผล ศีรษะแตกจากการถูกทุบด้วยของแข็งเป็นแผลฉกรรจ์ 3 แผล ที่ข้อมือทั้งสองข้างของผู้ตายถูกมัดด้วยเชือกฟางสีขาว แต่ด้วยความที่ศพขึ้นอืดจึงดันให้เชือกบางส่วนขาด

...

สิ่งที่คล้ายกับ 3 ศพแรก คือ ผู้ตายเป็นคนเก็บของเก่า แต่สติไม่สมประกอบ ซึ่งตำรวจเองก็ยัง "ไม่ฟันธง" ว่าเกี่ยวข้องกับคดี 3 ศพ แรกหรือไม่ กระทั่ง วันที่ 10 ต.ค.59 พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ได้ยืนยัน ว่า ผลการตรวจ DNA จากคดี 2 ศพแรก พบว่า คราบเลือดบนเสื้อนายจิมมี่ ตรงกับเลือดของนายเอ็ม ชายเร่ร่อนศพแรกที่พบในวันที่ 4 ต.ค. และ นายเสถียร ศพที่ 3 นอกจากนี้ ยังมี DNA ของผู้หญิงอยู่ด้วย ซึ่งจะมีการตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง

"ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ ว่าไม่ใช่ผู้ลงมือ แต่เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานมั่นใจว่าได้ดำเนินการทางคดีไปถูกทางและคุมตัวผู้ต้องสงสัยไม่ผิดตัว" ผบช.น. กล่าวอย่างหนักแน่น!

การฆ่าเกิดขึ้นง่าย ไร้สัญญาณเตือน หากไม่เคยบาดหมางกันมาก่อน ยิ่งยากต่อการสืบ

จากคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญถึงการสืบสวนสอบสวน...อาสามฯ ได้ต่อสายพูดคุยกับ “ตำรวจนักสืบ” ที่เคยร่วมไขคดีดังๆ มามากมาย อาทิ เผานั่งยางเสี่ยใหญ่ตลาดโรงเกลือ ฆ่าหั่นศพชาวต่างชาติทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา และในวันนี้พี่ตำรวจนายนี้จะมาเล่าถึงกลเม็ดเด็ดพรายในการสืบสวนให้ฟังกันเพื่อที่เราในฐานะประชาชนจะได้เข้าใจงานตำรวจมากขึ้น

...

พ.ต.ท.ศานติ กรเกษม รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.ภ.2 ผู้โชกโชนคดีที่ต้องใช้มันสมองในการไล่ล่าตัวคนร้าย บอกกับ “อาสามฯ” ว่า เหตุฆาตกรรมนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย บางครั้งอาจจะไม่เคยบาดหมาง หรือรู้จักกันมาก่อน แค่มาเจอกัน ปะทะคารมกัน จากเรื่องเล็ก กลายเป็นเรื่องใหญ่ เข้าทำร้ายร่างกายกัน กระทั่งทำให้ลงมือก่อเหตุฆาตกรรม ซึ่งเหตุลักษณะแบบนี้ทำให้เราทำงานค่อนข้างยาก เพราะเขาไม่ได้วางแผนมา หลักฐานในที่เกิดเหตุจึงมีไม่มากนัก

ตำรวจนักสืบผู้มากประสบการณ์ กล่าวต่อไปว่า “สิ่งสำคัญในการสืบสวน” คือ พยานแวดล้อม หรือวัตถุพยานต่างๆ เช่น เสื้อผ้า ช่วงเวลาในการก่อเหตุ พยานในเหตุการณ์ มีคนเห็นเหตุการณ์หรือไม่...ใครอยู่ในที่เกิดเหตุบ้าง ใครเข้าข่ายต้องสงสัย ซึ่งจะต้องหาหลักฐานทั่วไป รวมไปถึงหา CCTV รวมถึงประวัติผู้เสียชีวิต มีกิจวัตรเป็นอย่างไร และจากพยานแวดล้อมทั้งหมด ก็ทำให้เรามาตั้งต้นสอบสวนเป็นประเด็นๆ ไป

“จากประสบการณ์...บางประเด็น เป็นเรื่องไม่คาดคิด แต่ก็กลายเป็นมูลเหตุสังหารได้ เช่น กรณีคนร้ายกำลังดูคลิปโป๊อยู่ แต่มีเหยื่อเดินผ่าน จากนั้นก็เดินไปขอมีเพศสัมพันธ์กับเขาดื้อๆ แบบนี้...เมื่อเหยื่อไม่ยอม เกิดการต่อสู้ กระทั่งทำให้เหยื่อเสียชีวิตก็มี หากช่วงที่เกิดขึ้นไม่มีใครเห็น ก็จะเป็นอะไรที่สืบสวนยาก แต่เจ้าหน้าที่จะต้องตรวจพยานแวดล้อมทั้งหมด จากนั้นก็จะแกะรอยตามตัวมาดำเนินคดีให้ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไร คนร้ายจะต้องทิ้งหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งไว้แน่นอน”

อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญคือ...การกำหนดประเด็นสืบสวน เหมือนกับเป็นการตั้งต้นหาที่มาที่ไป โดยเราอาจจะค่อยๆ สืบในทีละประเด็น เพื่อไขสาเหตุให้พบว่า สิ่งที่คนร้ายลงมือนั้น มีสาเหตุมาจากเรื่องใด ค่อยๆ เคลียร์ไปทีละประเด็น หากดูข้อมูลแล้วคิดว่าไม่ใช่ก็ตัดออกทีละเรื่อง และก็จะมีเรื่องใดเรื่องหนึ่งน่าสงสัยนำไปสู่การจับกุมคนร้าย

ฆ่าต่อเนื่อง...เข้าข่ายพวกโรคจิต แค้นฝังใจในบางเรื่อง

เมื่อถึงตรงนี้ “อาสามฯ” จึงยิงคำถามสำคัญว่า แล้ว “พวกฆาตกรต่อเนื่อง” จะมีลักษณะแบบใด นายตำรวจมือดี จาก บก.สส.ภ.2 กล่าวว่า จากประสบการณ์พบว่ากลุ่มคนเหล่านี้มักจะลงมือในส่วนที่คิดว่าตนเองทำได้ แล้วอาจจะเข้าข่ายโรคจิต ที่อาจจะมีการปลูกฝัง หรือฝังความเกลียดชัง บางสิ่งบางอย่างอยู่ในจิตใจ และเขาก็จะประสงค์ร้ายกับเรื่องๆ นั้น!

“ผมเคยจับอยู่คดีหนึ่ง คนร้ายรายนี้จ้องจะฆ่าชิงทรัพย์สาวอะโกโก้ และ สาวอาบอบนวดเท่านั้น เนื่องจากในอดีตเขาเคยเจอผู้หญิงที่ทำอาชีพนี้หลอกลวงเขา หากเขามีโอกาสเขาจะลงมือกับคนเหล่านี้ เพราะเป็นสิ่งที่เขาเกลียด มันเหมือนเป็นเรื่องที่อยู่ในใจลึกๆ บอกให้เขาทำ ซึ่งคดีนี้ มีการแจ้งความคนหายไว้ 3-4 คน แต่ที่มาจับได้ คือ รายสุดท้าย ซึ่งทุกคดีเป็นการฆ่าเผาทั้งหมด โดยเขานำร่างไปเผา ที่ จ.ระยอง”

สิ่งที่เขาให้การ...อ้างว่า ที่เลือกผู้หญิงเหล่านี้ เพราะเป็นผู้หญิงที่หลอกง่าย อยากได้ของเขา แต่แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ได้ไปก็ไม่ใช่ของมีค่ามากมาย เมื่อเทียบกับมูลค่ากับการลงมือก่อเหตุ ไม่สมเหตุสมผล เมื่อถามลึกๆ เขาก็รับว่าเขาไม่ชอบผู้หญิงเหล่านี้ อ้างว่าทำให้ชีวิตเขาพัง...!?? ทุกวันนี้ผู้ต้องหารายนี้ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ

เปิดสันดานดิบฆาตกร...

เมื่อถามว่า เราสามารถรู้ได้หรือไม่ ว่าใครคือ “ฆาตกร” นายตำรวจนักสืบ บอกว่า “เรื่องแบบนี้ดูกันไม่ออก บางคนดูจ๋องๆ พูดไพเราะ....ครับผม แต่เมื่อถึงเวลาโหดร้าย ก็เหมือนกับสวมวิญญาณฆาตกรจะลงมือทันทีทันใด แต่เมื่อถึงเวลา...เรียกมาคุย ถามว่าเพราะอะไรถึงต้องลงมือแต่แบบนี้ เขาจะบอกได้แต่ว่า “เขาเกลียด” เขาจะหาวิธีการลงมือให้ได้”

วิธีหาทางเอาตัวรอด นายตำรวจมากประสบการณ์ยอมรับว่า เราไม่สามารถดูออกได้ว่าใครจะเป็นคนร้าย สิ่งที่เราต้องทำคือ ระมัดระวังตัวเอง ไม่เปิดโอกาส เช่น สถานที่ไหน เปลี่ยวอันตราย ก็ควรหาวิธีป้องกัน เพราะหากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะป้องกัน

สำหรับคดีต่อเนื่องนั้น ขณะนี้ทราบว่ามีอีก 1 คดี ที่ยังปิดไม่ลง ได้แก่ “คดีฆาตกามต่อเนื่องข่มขืนหญิงชราในพื้นที่ภาคกลาง ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว หลังจากจับผู้ต้องสงสัยได้ 1 ราย แต่เมื่อมีการพิสูจน์ทราบแล้วพบว่า “ไม่ใช่” หลังจากนั้น คดีต่างๆ ก็เงียบหายไป “อาสามฯ” และทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ หวังว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะเร่งสางคดีนี้ให้ได้ในที่สุด

  • สืบเสาะข่าวรับเรื่องราว ร้องทุกข์ สามารถส่งเรื่องราวหรือประเด็นปัญหาของท่านมาได้ที่ reporter.thairath@gmail.com หรือช่องทาง Facebook : ทีมข่าวเฉพาะกิจ