หากพูดถึงหน่วยรบพิเศษของตำรวจ คุณนึกถึงอะไร?

วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาผู้อ่านไปร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดโหด มัน เคล้าน้ำตา กับหน่วยรบพิเศษที่มีนามเรียกขานว่า ‘สยบริปูสะท้าน’ หรือ ‘คอมมานโด’ หน่วยปฏิบัติการพิเศษกองปราบปราม กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นั่นเอง

ทีมข่าวฯ นัดนายตำรวจ 2 ท่านไว้ที่กองปราบปราม โชคชัย 4 ที่ทำการของหน่วยคอมมานโด โดยทั้ง 2 ท่านนี้ ท่านแรกเป็นนายตำรวจคนดังที่หลายคนรู้จักในฐานะเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ที่เขาใหญ่ และเป็นคู่ครองของนางเอกระดับแนวหน้าเมืองไทย นั่นคือ ร.ต.อ.สงกรานต์ เตชะณรงค์ รอง สว.กก.ปพ.บก.ป. ส่วนนายตำรวจท่านที่สอง เรียกได้ว่าเป็นมือปราบยอดฝีมือของคอมมานโดเลยก็ว่าได้ ผ่านสนามมาเกือบ 500 ครั้ง และตั้งแต่ปฏิบัติงานมากระสุนไม่เคยโดนตัวแม้แต่ครั้งเดียว นั่นคือ จ.ส.ต.ทวี โนนก้อม ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. วันนี้เราจะได้พูดคุยกับทั้งสองท่านกัน...

...

ถาม ร.ต.อ.สงกรานต์ ก่อน ว่า เป็นถึงทายาทโบนันซ่าทำไมถึงมาทำอาชีพนี้?

ร.ต.อ.สงกรานต์ เปิดเผยว่า “ผมเลือกอาชีพตำรวจเพราะว่าใจมันชอบ ตอบโจทย์กับชีวิตที่เป็นคนแอคทีฟ ลงพื้นที่ ชอบความตื่นเต้น ความเสี่ยงก็มีบ้างเพราะเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ฉะนั้น งานที่ทำย่อมมีความเสี่ยงมากกว่างานทั่วๆ ไป แต่ในความเสี่ยงนั้น เราได้รับการฝึกฝนมาอยู่แล้ว เพื่อที่จะปฏิบัติงานให้เกิดความเสี่ยงน้อยที่สุด

ส่วนคนที่มองว่าฐานะทางบ้านดีมาเป็นตำรวจจะได้เรื่องหรือเปล่า ผมว่าเป็นความคิดของแต่ละคนที่เขาจะมอง ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมา การฝึกฝน การปฏิบัติภารกิจต่างๆ จะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นเองว่า ผมมีความตั้งใจจริงๆ และมีประสิทธิภาพมากพอที่จะดูแลรับใช้ประชาชนครับ

คอมมานโด ต้องมีคุณสมบัติพิเศษอะไรบ้าง?

ร.ต.อ.สงกรานต์ น้องใหม่ในทีมคอมมานโดที่เพิ่งเข้ามาอยู่ได้เกือบปี กล่าวว่า คอมมานโดเป็นหน่วยที่ต้องแอคทีฟอยู่ตลอดเวลา มีจะการสแตนด์บายพร้อมรับภารกิจอยู่ตลอด หากผู้บังคับบัญชาหน่วยอื่นขอกำลังมา คอมมานโดต้องพร้อมตอบสนองคำสั่งในทันที

ด้าน จ.ส.ต.ทวี เผยว่า หัวใจสำคัญของคอมมานโด คือ ใจที่เสียสละ และใจที่พร้อมรับใช้ประชาชนโดยที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เพราะในบางภารกิจนั้น คอมมานโดจะทำในสิ่งที่ตำรวจท้องที่ทำไม่ได้ เช่น ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ หรือการที่ต้องพร้อมรับภารกิจอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าวันนั้นจะทำธุระส่วนตัวอยู่ก็ตาม

...

ถาม จ.ส.ต.ทวี ในฐานะครูฝึก เวลานักเรียนคอมมาโดเข้าฝึกอบรมนั้น มีการฝึกอะไรบ้าง?

จ.ส.ต.ทวี อธิบายว่า การฝึกคอมมานโดหลักสูตรเก่าใช้เวลา 3 เดือน ส่วนหลักสูตรใหม่ 4 เดือน อันดับแรกจะเป็นการฝึกวินัยตำรวจทุกอย่างตั้งแต่การวิ่ง เพื่อสร้างความกระตือรือร้น การทำความเคารพรุ่นพี่ การฝึกความอดทน โดยในช่วงที่ฝึกห้ามดื่มน้ำเด็ดขาด เว้นแต่ช่วงพักให้ดื่มน้ำ

ทั้งนี้ ช่วงการฝึกที่หนักที่สุดจะเป็นการฝึกปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งนักเรียนคอมมานโดจะนอนน้อยมาก เพียงวันละ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากจะต้องตื่นตัวเตรียมพร้อมรับภารกิจอยู่ตลอดเวลา และจะมีการออกกำลังกายทุกเช้า เที่ยง เย็น ดึก จะมาหนักช่วงเย็นจะเป็นการทำโทษซ่อมวินัย โดยจะให้พุ่งหลังวันละ 1,000 ครั้งเป็นอย่างต่ำ แล้วแต่วินัยของนักเรียน แต่ว่าจะต้องโดนทุกวันจนกว่าจะจบการฝึก 4 เดือน

หลังจากที่นักเรียนคอมมานโดผ่านการฝึกเรียบร้อยแล้ว จะเป็นการฝึกปฏิบัติการโดยตรง แนวทางการฝึกปฏิบัติจะถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นพี่ ฉะนั้น นักเรียนคอมมานโดจะต้องพร้อมที่จะไปปฏิบัติหน้าที่กับรุ่นพี่ที่จบมาแล้วได้ เป็นการฝึกการทำงานไปในตัว พวกเขาจะโดนรุ่นพี่สอน แนะนำ ทดสอบให้ลองปฏิบัติหน้างาน เว้นแต่ในบางภารกิจของกองร้อยที่ 1 จะไม่มีการทดสอบการทำงานจริง เพราะค่อนข้างที่จะเกี่ยวเนื่องกับชีวิต รุ่นพี่ก็จะคอยสอน แนะนำอีกครั้งในขณะที่ปฏิบัติงานจริง

...

ประสบการณ์โชกโชน ภารกิจไหนโหดที่สุด?

จ.ส.ต.ทวี เล่าภารกิจที่จดจำได้ไม่มีวันลืมให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า “ภารกิจในครั้งนั้นเป็นครั้งที่มีการปะทะกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี ผมได้รับคำสั่งให้ลงไปปฏิบัติหน้าที่ที่ จ.ปัตตานี เป็นชุดเคลื่อนที่เร็ว และวันนั้นผมเข้าเวรพอดี ช่วงตีห้ามี ว.แจ้งเข้ามาว่า มีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่บริเวณป้อมกรือเซะ เนื่องด้วยเราเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วของคอมมานโด ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งการให้เข้าไปตรวจค้นภายในมัสยิด ในทีมชุดนั้นมีทั้งหมด 9 คน กำลังขับรถเข้าไป ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครทราบว่า คนร้ายอยู่ในมัสยิด เมื่อไปถึงคนร้ายได้กระหน่ำยิงเข้าใส่รถคอมมานโดทันที เราก็ยิงตอบโต้กลับ ในตอนนั้นเองมีเพื่อนร่วมทีมเสียชีวิตจากการโดนยิง 1 คน ผมก็ต้องหนักแน่นปฏิบัติภารกิจต่อไปจนลุล่วงมาได้

เหตุที่ภารกิจนี้หนักสำหรับผมเพราะว่า มันเป็นสถานการณ์ที่รบกันจริงๆ และเกี่ยวเนื่องกับชีวิตด้วย เป็นการรบลักษณะผู้ก่อความไม่สงบ ต่างจากการเข้าไปจับคนร้ายทั่วไป หากใจเราไม่หนักแน่นพอ เราจะมีความกลัวไม่กล้าปฏิบัติภารกิจต่อไปได้”

...

แล้วภารกิจไหนที่ประทับใจที่สุด?

จ.ส.ต.ทวี ตอบว่า ประทับใจทุกภารกิจ เพราะในช่วงชีวิตที่อยู่คอมมานโดมา 14 ปี ผ่านการเข้าไปค้นบ้านคนในลักษณะของการตรวจค้นอาคาร มามากกว่า 400-500 ครั้ง ในขณะที่เข้าไปไม่ว่าจะอยู่ในทีม 1 หรือ ทีม 2 ทีม 3 แต่ทั้งหมดนี้ก็คือทีมเดียวกัน ครอบครัวคอมมานโด นอกจากนี้ ยังสามารถตอบโจทย์ผู้บังคับบัญชาได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

“ไม่มีบ้านหลังไหนที่ผมไม่สามารถเข้าได้ ไม่ว่าคุณจะล็อกโดยวิธีใดก็ตาม แต่หมายความว่าต้องอยู่ในกระบวนการตามกฎหมายนะ เพราะหากเป็นคดียาเสพติด ถ้าช้าเขาจะทำลายหลักฐานทันที อย่างบ้านแถวๆ ม.ราชภัฏจันทรเกษม ผมเคาะเรียกพร้อมกับแจ้งว่าเราเป็นใคร มาทำอะไร ผ่านไป 1-2 นาที ยังไม่เปิด แล้วมีเสียงดังตุบข้างใน แสดงว่ามีคนอยู่แน่แต่ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ถ้าปล่อยไว้ช้า คนร้ายอาจจะยิงเจ้าหน้าที่ได้ เพราะฉะนั้น ภารกิจนี้อาจจะต้องใช้การพังประตูเข้าไป” ครูทวี อธิบาย

อยากเข้าอบรมหน่วยรบพิเศษอื่นบ้างไหม?

ร.ต.อ.สงกรานต์ เผยว่า “อยากไปครับ แต่ว่ารอลูกโตกว่านี้ก่อน (หัวเราะ)”

ด้าน จ.ส.ต.ทวี กล่าวว่า “แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากไป แต่ผมมองว่า หลักสูตรบางหลักสูตรถ้าเราไปเบียดคนที่เขามีหน้าที่ต้องทำ อย่างเช่น มีตำรวจคนนึงเป็นตำรวจใหม่เพิ่งจบ และเขาอยู่ในหน่วยที่ต้องใช้วิชาเหล่านี้ รวมถึงหน่วยที่ต้องได้เครื่องหมายเหล่านี้ไปใช้ในวิชาชีพเขา แต่เราไปเบียดเขา ทำให้เขาไม่ได้เรียน ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและประเทศไทย เสียงบประมาณ และผมเชื่อว่ามีหลายอย่างที่ตำรวจควรจะเรียนรู้มากกว่าคนทั่วไปที่อยากให้ตำรวจเรียนครับ”

ถามเรื่องครอบครัวบ้าง เวลาออกไปปฏิบัติภารกิจแต่ละครั้งเขาเป็นห่วงเราบ้างไหม?

ร.ต.อ.สงกรานต์ กล่าวว่า “ก็เป็นห่วงครับ แต่เขาไม่ได้จ้ำจี้จ้ำไชกันมาก เราก็บอกว่าไม่ต้องห่วง เราไปอย่างรัดกุม มีการตรวจสอบพื้นที่มาก่อน และมียุทธวิธีในการเข้าไปในพื้นที่ ครอบครัวก็ค่อนข้างโอเค ไม่มีห้ามเป็นตำรวจ”

ขณะที่ จ.ส.ต.ทวี เผยว่า “ไม่นะครับ คือ ผมแสดงออกให้เขาเห็นว่า ผมสามารถที่จะปกป้องตัวเองได้ เขาก็เลยไม่ห่วง”

ท้ายที่สุดนี้ การเป็นหนึ่งในทีมคอมมานโด ให้อะไรกับเราบ้าง?

ร.ต.อ.สงกรานต์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า "การเป็นหนึ่งในทีมคอมมานโดให้ในสิ่งที่ชีวิตนี้หาไม่ได้ และถึงแม้จะยังไม่ได้รับการฝึกอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ได้เรียนรู้จากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ไปฝึกรบพิเศษ รวมทั้งยังได้เรียนรู้เรื่องจิตใจ ยุทธวิธีต่างๆ ที่เมื่อไปปฏิบัติภารกิจและทำให้ได้รับความปลอดภัยกลับมาครับ"

ขณะที่ จ.ส.ต.ทวี (นิ่งคิดครู่หนึ่ง) ก่อนให้คำตอบว่า “ให้ความสุขครับ ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีจุดที่เป็นความสุขของแต่ละคนแตกต่างกัน ตำรวจหลายๆ หน่วย มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การรับใช้ และปกป้องประชาชน แต่สิ่งที่ผมอยู่ผมสามารถใช้คอมมานโด เพื่อที่จะปกป้องประชาชน ปกป้องในสิ่งที่ตำรวจทั่วไปทำไม่ได้ เรากล้าปฏิบัติงานแม้ผู้กระทำผิดเป็นผู้มีอิทธิพล ทำให้คนร้ายยังคงเกรงกลัวต่อหน่วยคอมมานโด เพราะถ้าเมื่อใดที่คอมมานโดลงไปนั่นหมายความว่า คุณมีส่วนเกี่ยวข้องหรือคุณกระทำไม่ดีกับประเทศชาติ และทุกอย่างจะต้องจบในจุดนั้นทันที”

 

นอกจากนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ยังได้สัมภาษณ์พิเศษ พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผกก.ปพ.บก.ป. หลังทราบข่าวคราวว่า กองปราบปรามจะมีการเปลี่ยนรถใหม่ ซึ่ง พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยอมรับว่ามีการเปลี่ยนรถใหม่จริง

สำหรับสาเหตุที่เปลี่ยนเนื่องจากว่า ในขบวนเสด็จนั้น จะต้องใช้ความเร็วสูง ซึ่งรถคัมรี่ที่ได้มานั้นตามขบวนเสด็จไม่ทัน จึงเปลี่ยนมาเป็นยี่ห้อ BMW 528i Series 5 เครื่อง 3000 Twin Turbo สามารถทำความเร็วได้ 265 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งในขบวนเสด็จนั้น จะต้องใช้ความเร็วประมาณ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติยึงได้จัดสรรรถชุดนี้มาให้ทั้งหมด 12 คัน ซึ่งใช้ในขบวนเสด็จ แต่ใช้ไม่ครบ ส่วนหนึ่งจะเอามาให้ประชาชนให้เห็นและสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวด้วย อาจจะอยู่ในแหล่งชุมชน หรือสถานที่ท่องเที่ยว

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่เปลี่ยนเป็น BMW เนื่องจาก 1.การรักษาความปลอดภัยที่ต้องใช้ความเร็วในการติดตามคนร้าย 2.ลดความกดดันกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพราะรถตำรวจเข้าไปสิ่งที่ประชาชนจะรู้สึกคือ มีความกดดัน ไม่มีความเป็นมิตร แต่รถแบบนี้ดูเป็นกันเอง ใครๆ ก็เดินไปถ่ายรูป 3.การป้องปรามอาชญากรที่ก่อเหตุ เนื่องจากสะดุดตาทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ลดช่องว่างหรือโอกาสในการก่ออาชญากรรมของคนร้าย โชว์ศักยภาพของตำรวจให้อาชญากรให้เห็น

นอกจากนี้ ใน 1 คันรถต้องประกอบด้วย 2 คน และในรถชุดเคลื่อนที่เร็วจะต้องประกอบไปด้วยอาวุธปืน M4 ลูกซอง กระสุน เสื้อเกราะ ชุดช่วยเหลือรถเสียเบื้องต้น ชุดปฐมพยาบาล ต้องมีประจำรถไว้ และใน 1 ชุดเคลื่อนที่เร็วจะมีรถ 4 คัน (2 คนต่อรถ 1 คัน)

“คนพูดหลายคนว่ามันอินเตอร์เป็นสากลมากขึ้น และเราได้เตรียมบุคลากรมาก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นจึงเสริมอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไป ตอนนี้เราพร้อมที่จะใช้อาวุธให้ความปกป้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว” พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าว.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

  • สืบเสาะข่าว รับเรื่องราวร้องทุกข์ สามารถส่งเรื่องราวหรือประเด็นปัญหาของท่านมาได้ที่
    

reporter.thairath@gmail.com หรือช่องทาง Facebook : ทีมข่าวเฉพาะกิจ