ศาลเชียงใหม่ เลื่อนอ่านฎีกา คดีเจ้าหน้าที่รัฐพัวพันปลอมแปลงบัตร และทะเบียนราษฎรให้ "อาหลิว" ผู้ต้องหายักยอกเงินจากธนาคารจีน หลัง "อดีตรองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่" ส่งทนายยื่นใบรับรองแพทย์ อ้างป่วย ...
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 10 ส.ค.59 ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ได้นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีดำหมายเลข 5868/2543 คดีที่เจ้าหน้าที่รัฐพัวพันปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนราษฎรให้ "อาหลิว" หรือ เฉิน หมั่น ซุง ผู้ต้องหายักยอกเงินจากธนาคารกลางจีนกว่า 20,000 ล้านบาท เมื่อ 16 ปีก่อน โดยจำเลยในคดีนี้ มีทั้งหมด 7 คน ประกอบไปด้วย จำเลยที่ 1 นายพูลสวัสดิ์ วรวัลย์ อดีตรองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่ จำเลยที่ 2 นายพิทักษ์ ตันติศักดิ์ อดีตรองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ จำเลยที่ 3 นายจรัส ณรงค์จันทร์ชัย จำเลยที่ 4 นายสุรชัย จันทร์เป็ง จำเลยที่ 5 นายบุญยัง ปัญจศีล จำเลยที่ 6 นายสิงห์ทร เกสร จำเลยที่ 7 นายประสิทธิ์ เจียมจิต เมื่อถึงเวลานัดหมายจำเลยทั้งหมดที่ได้ประกันตัวออกไปได้เดินทางมาศาล เพื่อรอฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา เว้นแต่นายพิทักษ์ ตันติศักดิ์ (จำเลยที่ 2) อดีตรองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่ ไม่มา ได้ให้ทนายความนำใบรับรองแพทย์มายื่นต่อศาลว่าป่วยหนัก ไม่สามารถมาฟังคำตัดสินได้ ทางศาลพิเคราะห์แล้ว จึงมีมติเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปเป็นวันที่ 3 ตุลาคม 2559

...
สำหรับคดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2543 หรือ 16 ปี ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการประสานจากทางการของประเทศจีนและองค์กรตำรวจสากล ให้จับกุมตัวนาย "อาหลิว" หรือเฉิน หมั่น ซุง อาชญากรข้ามชาติยักยอกเงินธนาคารกลางจีนกว่า 400 ล้านหยวน หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท แล้วหลบหนีมาที่จังหวัดเชียงใหม่ก่อนที่จะจ้างวานเจ้าหน้าที่ของรัฐให้สวมบัตรประจำตัวประชาชน จนทางการจีนขอความร่วมมือมา และสามารถจับกุมอาหลิวได้ จากการสอบสวนขยายผล พบว่าอาหลิวหลบหนีเข้าประเทศไทยทางช่องทาง จ.เชียงราย เมื่อปี 2538 และได้ตีสนิทข้าราชการไทย ไปจนถึงนักการเมืองระดับชาติ จนสามารถทำบัตรประชาชนไทย 2 ใบใช้ชื่อ "สุก ตาจง" และ "เลา แสนซุ้ง" และผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าใหม่จนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ต่อมาอาหลิวถูกจับกุมได้ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 และตำรวจได้ขยายผลการจับกุม จนสามารถจับกุมนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการที่ช่วยเหลืออาหลิวในการสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทย และนำตัวส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ และวันที่ 17 พ.ย.2543 ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษา อาหลิว ในข้อหา หลบหนีเข้าเมือง ปลอมแปลงบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนราษฎรและจ้างวานเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ได้มาซึ่งเอกสารของทางราชการ รวมทั้งสิ้น 29 กระทงเหลือจำคุก 13 ปี 10 เดือน ก่อนที่ทางการจีนขอให้ทางการไทยส่งตัวนายอาหลิวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อที่ประเทศจีน โดยนายอาหลิว หว่านเงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อบัตรและทะเบียนราษฎรมา จนมีการขยายผลการจับกุมข้าราชการ และนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่หลายคน
กระทั่งวันที่ 23 พ.ค.2550 ศาลเชียงใหม่พิพากษาจำคุกนักการเมืองท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน และนักธุรกิจใน จ.เชียงใหม่ จ.นครสวรรค์ และกทม.ขั้นหนักฐานร่วมกันปลอมแปลงออกบัตรประชาชนให้ "อาหลิว" ประกอบไปด้วย นายพูนสวัสดิ์ วรวัลย์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 4 ปี ส่วนนายพิทักษ์ ตันติศักดิ์ ให้จำคุก 5 ปี และนายประสิทธิ์ เจียมจิต ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆ ยกฟ้อง โดยจำเลยทั้งหมดได้ขอยื่นประกันตัวออกไป และสู้กันมาถึงชั้นศาลฎีกา จนมีการนัดอ่านคำพิพากษาในวันนี้ แต่จำเลยมาไม่ครบจนศาลต้องเลื่อนออกไปอีกในวันที่ 3 ต.ค.2559 ถือว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่โด่งดังในอดีตที่คนเชียงใหม่ให้ความสนใจมากเช่นกัน.