สืบเนื่องจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12498/2558 กรณีแพทย์โรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งหนึ่งแพ้คดี ทำให้แพทย์หลายคนเริ่มเกิดความหวั่นไหว เสียกำลังใจ และไม่กล้าที่จะทำการรักษาบางอย่าง อันอาจส่งผลให้มาตรฐานการรักษาผู้ป่วยลดลง กระทบไปถึงประชาชนโดยรวม
วันก่อน แพทยสภาจึงได้จัดให้มีการระดมความเห็นจากทั้งแพทย์ และนักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสมให้กับการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในอนาคต
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้พูดถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า สืบเนื่องจากศาลฎีกามีคำพิพากษา กรณีที่แพทย์ให้การรักษาผู้ป่วยวัณโรคเยื่อหุ้มสมองรายหนึ่ง แต่ภายหลังเกิดความพิการ โดยศาลตัดสินว่าเป็นความประมาท เพราะไม่ได้ส่งฟิล์มเอกซเรย์ไปให้รังสีแพทย์อ่านผล ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยวัณโรคได้
กรณีนี้ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ และเกรงว่าต่อไปในอนาคตอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของประชาชนได้
“ที่จริงสภาวการณ์เช่นนี้ มีมานานแล้ว แต่ครั้งนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมากมาย ผมเชื่อว่าหมอทุกคนทำในสิ่งที่ตัวเองหวังไว้ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ แต่ผลที่ออกมาก็เป็นอย่างที่เห็น ปัญหาคือ ทำอย่างไรจึงจะเกิดความเข้าใจตรงกัน”
รมว.สาธารณสุขบอกว่า คำตัดสินของศาลเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขจะต้องยอมรับและดำเนินการตาม ไม่เช่นนั้นประเทศนี้
จะไม่มีระเบียบแบบแผนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ต้องหาแนวทางป้องกัน แก้ไขไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก เพราะขณะนี้ฝ่ายแพทย์เริ่มมีความหวั่นไหว เสียกำลังใจ และอาจไม่กล้าทำการรักษาบางอย่าง ซึ่งในอนาคตอาจทำให้มาตรฐานการรักษาผู้ป่วยลดลง
...
“ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีศูนย์สันติวิธี ทำหน้าที่เสนอกระบวนการดูแลทั้งแพทย์และคนไข้ ก่อนที่ข้อขัดแย้งหรือเรื่องต่างๆจะกลายเป็นคดี แต่การทำงานจะต้องไม่เป็นแบบทฤษฎี จะต้องเน้นงานเชิงปฏิบัติให้มากขึ้น ต้องไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น สร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันให้มากขึ้น”
นพ.สมศักดิ์ โล่เลขา นายกแพทยสภา แสดงความเห็นในกรณีเดียวกันว่า แม้ทุกฝ่ายต้องยอมรับในคำตัดสินตามคำพิพากษา แต่ก็เป็นที่หวั่นเกรงว่า การที่ศาลตัดสินออกมาเช่นนี้ ต่อไปอาจทำให้แพทย์หลายคนหวั่นไหว และอาจส่งผลเสียไปถึงคนไข้ได้
“อย่าลืมว่า เราไม่มีรังสีแพทย์ หรือหมอเอกซเรย์ประจำอยู่ทั่วประเทศ การจะบังคับให้หมอเอกซเรย์ต้องอ่านผลก่อนทุกเคส ในความเป็นจริงคงจะทำไม่ได้”
นายกแพทยสภาบอกว่า ในอดีตกรณีร้องเรียนแพทย์ ต่อแพทยสภา มีปีละไม่ถึง 10 เรื่อง หรืออย่างมากก็แค่เดือนละ 1 เรื่อง แต่นับตั้งแต่มีการประกาศสิทธิผู้ป่วย โดยไม่มีการประกาศถึงหน้าที่ของผู้ป่วย พบว่า คดีร้องเรียนแพทย์เริ่มพุ่งขึ้นทันที เช่น จากปีละ 60 คดี พุ่งขึ้นไปเป็นปีละประมาณ 300 คดี
“แพทย์ที่ถูกฟ้องร้องมากที่สุด คือ สูตินรี ศัลยกรรม และกุมารแพทย์ ยิ่งคนไหนเก่งมาก ดังมาก รักษาคนไข้มาก โอกาสที่จะถูกฟ้องร้อง ก็ยิ่งมีมากตาม คนไหนทำน้อย ดังน้อย ก็โดนน้อยหน่อย จึงเห็นได้ว่า หมอที่มีอายุระหว่าง 50–60 ปี ซึ่งกำลังเริ่มมีชื่อเสียง ใครๆก็อยากจะรักษาด้วย ถูกฟ้องร้องมากที่สุด”
นพ.สมศักดิ์บอกว่า ปัจจุบันข้อหาที่แพทย์ถูกฟ้องร้องหรือร้องเรียนมากที่สุดก็คือ ทำการรักษาไม่ได้มาตรฐาน
“ที่จริงคนไข้ทั่วไป มักไม่ทราบหรอกว่า เป็นการรักษาที่ได้มาตรฐานหรือไม่ แต่กรณีที่นำไปสู่การฟ้องร้องหรือร้องเรียนว่า แพทย์คนโน้นคนนี้รักษาไม่ได้มาตรฐาน มักเกิดจากแพทย์ด้วยกันนั่นแหละ เช่น แพทย์คนหนึ่งพอย้ายไปอยู่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลคู่แข่งกัน มักจะไปเป่าหูยั่วยุคนไข้ และโจมตีแพทย์โรงพยาบาลเก่าที่ตนเคยประจำอยู่ว่ารักษาไม่ได้เรื่อง ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดการฟ้องร้องกันมากมาย”
นพ.สมศักดิ์ตั้งข้อสังเกตว่า การรักษาพยาบาลนั้นต่างจากกรณีคุ้มครองผู้บริโภคทั่วไปเพราะผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยอาการเดียวกัน เช่น มีอาการไออย่างเดียว แต่ทำให้เกิดโรคที่ต่างกันได้ตั้งหลายโรค ฉะนั้น จึงไม่อาจใช้มาตรฐานคุ้มครองผู้บริโภค เหมือนกรณีรถเสีย แต่ไม่มีอะไหล่ซ่อม มาเทียบวัดกันได้ เพราะช่างอาจยังไม่ยอมซ่อมรถให้ได้ แต่กรณีของคนไข้ มีเรื่องจริยธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แพทย์จะไม่รักษาคนไข้ไม่ได้ เป็นต้น
มีบางคนตั้งข้อสังเกตไว้ว่า โดยทั่วไปคำว่า “ลูกค้า” นั้นต่างจากกับคำว่า “ผู้ป่วย” แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่แพทย์ทำตัวเสมือน “พ่อค้า” คนไข้ก็น่าจะมีสถานะไม่ต่างกับ “ลูกค้า” หรือ “ผู้บริโภค” ใช่หรือไม่
กรณีเช่นนี้ อาจเป็นเหตุให้ปัจจุบันศาลได้ขยายขอบเขตคดีผู้บริโภค ตาม พ.ร.บ.พิจารณาคดีผู้บริโภค และเหมารวมเอาความเสียหายจากการที่ผู้ป่วยได้รับบริการทางการแพทย์ แล้วเกิดความทุพพลภาพ ตายหรือรักษาแล้วไม่เป็นไปตามที่ผู้ป่วยต้องการ...ให้เป็นหนึ่งในคดีผู้บริโภคด้วย
เมื่อมุมมองของฝ่ายหนึ่งเห็นว่า “คนไข้” คือ “ผู้บริโภค” แต่เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่า ไม่ใช่...โดยให้เหตุผลว่า ถ้าเปรียบคนไข้เป็นผู้บริโภคโรคภัยไข้เจ็บ คือ สินค้า และแพทย์เปรียบเหมือนพ่อค้า หรือผู้ให้บริการ
โดยปกติสินค้าหรือบริการทั่วไป เจ้าของผลิตภัณฑ์หรือผู้ให้บริการ เป็นผู้ผลิตหรือกำหนดคุณสมบัติ แต่โรคภัยไข้เจ็บ (สินค้า) แต่ละชนิดนั้น นอกจากไม่เหมือนกันเลย แถมแพทย์ยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการเกิดของโรค เพียงแต่มีหน้าที่ช่วยป้องกันรักษาให้ดีที่สุด ตามความรู้ความสามารถ และความจำกัดของทรัพยากร
กรณีนี้ พญ.ชัญวลี ศรีสุโข สูติแพทย์จากโรงพยาบาลพิจิตร และโฆษกแพทยสภา ให้ความเห็นว่า การจะยัดเยียดให้โรคภัยไข้เจ็บ เป็นเหมือนสินค้า ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม ให้แพทย์หรือผู้ให้บริการ ต้องรับว่าเป็นเจ้าของสินค้า หรือเป็นผู้รับผิดชอบ คงจะไม่เป็นธรรม
...
หรือกรณีที่สินค้าทั่วไป คุณภาพของสินค้า มักเป็นรูปธรรมมองเห็น หรือชั่งตวงวัดได้ แต่การให้บริการรักษาพยาบาลนั้น จะได้ผลดีหรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวผู้บริโภคหรือคนไข้และญาติของคนไข้เอง
ด้วยเหตุนี้ การตีความแบบเหมารวม ให้แพทย์เป็น “ผู้บริการ” คนไข้ เป็น “ผู้บริโภค” สินค้า คือ “โรคภัยไข้เจ็บ” จึงไม่เป็นธรรมต่อวงการแพทย์ และอาจส่งผลเสียต่อสังคมไทยในอนาคต
เช่น ต่อไปแพทย์จะไม่กล้ารักษาพยาบาลคนไข้ที่มีอาการหนัก หรือไม่แน่ใจว่า เมื่อรักษาแล้วจะได้ผลดีหรือไม่ เพราะเปรียบเสมือนสินค้าที่มีความเสียหายมา แต่กลับให้แพทย์ต้องเป็นคนรับผิดชอบ สิ่งที่ตามมาก็คือ จะเกิดการส่งต่อคนไข้ไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น ซึ่งผลเสียจะตกอยู่กับคนไข้ที่มีอาการป่วยหนัก และมีฐานะลำบากยากจน
หรือไม่เช่นนั้น แพทย์จะรักษาพยาบาลกันแบบ เวชกรรมป้องกันตัวเอาไว้ก่อน นั่นคือ ไม่ว่าจะป่วยมาด้วยสาเหตุใด ต่อไปนี้เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน แพทย์จะส่งตรวจเพิ่มเติมเกินความจำเป็น เพื่อป้องกันไว้เผื่อกรณีตัวเองอาจถูกฟ้องร้องในคดีผู้บริโภค
นอกจากนี้ ต่อไปแพทย์ที่เก่งและดี จะหมดกำลังใจ เพราะแพทย์ผู้นั้น ยิ่งทำงานหนักเท่าไร ทุ่มเทเสียสละช่วยเหลือคนไข้มากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสถูกคนไข้ (ผู้บริโภค) ฟ้องร้องสูงขึ้นเท่านั้น และเมื่อถูกฟ้อง แพทย์ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้หาพยานหลักฐานและทนายความไปแก้ต่างเอาเอง
“เมื่อใดที่ทำให้แพทย์เป็นพ่อค้า คนไข้เป็นลูกค้าหรือผู้บริโภค จริยธรรมทางการแพทย์จะดับสูญ และผลเสียจะตกอยู่กับคนไข้ เพื่อความเป็นธรรมและประโยชน์ต่อส่วนรวม ควรมีการทบทวนกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคใหม่ ไม่รวมเอาความเสียหายจากบริการทางการแพทย์เข้าไปด้วย” โฆษกแพทยสภาให้ความเห็น.
...