จากภาพชาวนาที่โด่งดังในโซเชียล วันนี้ ผู้ว่าฯ ปรีชา เปิดใจเผยถึงชีวิตหลังเกษียณ มาทำสวนเศรษฐกิจพอเพียง รับมีความสุขดี เพราะไม่ได้ปลูกเพื่อขาย อยู่แล้วไม่เดือดร้อนกับใคร คิดดีทำดีและทำทันที อยู่แบบคนรู้หน้าที่ สังคมจะเป็นสุข

หลังจากตกเป็นกระแสข่าวได้รับการยกย่องชื่นชมจากสังคมโซเชียลจนโด่งดังเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงการใช้ชีวิตแบบติดดิน หลังลงจากตำแหน่งพ่อเมืองหลายจังหวัด โดยมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเป็นชาวนา ชาวสวน ที่บ้านเกิดใน จ.พิจิตร ของ ดร.ปรีชา เรืองจันทร์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก หลังจากตกอยู่ในกระแสข่าวในโลกโซเชียลอยู่หลายวัน แต่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากอดีตพ่อเมืองลูกชาวนาแต่อย่างใด

เมื่อวันที่ 30 เม.ย.2559 ผู้สื่อข่าวไทยรัฐเดินทางไปที่ "คุ้มสังฆทาน" เลขที่ 245 หมู่ 4 ต.คลองคะเชนทร์ อ.เมือง จ.พิจิตร ของ ดร.ปรีชา เรืองจันทร์ อดีต ผวจ.พิษณุโลก และอีกหลายจังหวัด และคุณปิยธิดา เรืองจันทร์ ภรรยา อดีตนายกเหล่ากาชาดหลายจังหวัด บ้านพักดังกล่าวชื่อ "บ้านร่มบุญ" เป็นบ้านพัก 2 ชั้น สร้างในพื้นที่เกือบ 1 ไร่ สมฐานะอดีตพ่อเมืองหลายจังหวัด รอบๆ พื้นที่บ้านประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่ครึ้ม น่าอยู่อาศัย บริเวณเดียวกันเป็นพื้นที่ไร่นาสวนผสม

...


เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึง บริเวณบ้านพัก พบคุณลุงที่แต่งชุดชาวนากำลังสาละวนกับการตัดแต่งกิ่งพันธุ์มะนาวที่มีผลผลิตอยู่เต็มต้น จึงแจ้งความประสงค์ขอพบ ดร.ปรีชา เรืองจันทร์ เจ้าของบ้าน เพื่อขอทราบแนวทางการใช้ชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง คุณลุงหันมาบอกว่า นี่แหละ "ผู้ว่าฯ ปรีชา ตัวจริงเสียงจริง" จากนั้น ดร.ปรีชา ได้ต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีและเปี่ยมไปด้วยเมตตาและความจริงใจติดดินสมกับที่เกิดเป็นลูกชาวนา จากนั้นได้นำผู้สื่อข่าวเดินดูผลผลิตต่างๆ ของพืชผักสวนครัวและสวนผลไม้ต่างๆ ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงที่ อดีตผู้ว่าฯ ลูกชาวนา ได้ทำมาตั้งแต่รับราชการจนเกษียณจากตำแหน่ง 

หลังจากเดินสำรวจพื้นที่ทางการเกษตรจนพอได้เหงื่อ ดร.ปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าฯ ลูกชาวนาได้เปิดเผยเรื่องราวต่างๆ ก่อนจะปักหลัก และใช้ชีวิตตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า หลังจากเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง ผวจ.พิษณุโลก เมื่อปี 2556 ก็กลับมาปักหลักที่บ้านหลังนี้ ที่ซื้อไว้ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่ง นอภ.เมืองพิจิตร มาสร้างบ้านขณะเป็น ผู้อำนวยการกองในกระทรวงมหาดไทย ต่อมาชาวบ้านมาขายที่ข้างๆ ให้ก็ซื้อรวบรวมไว้ ทั้งหมดประมาณ 33 ไร่ ขณะย้ายไปรับราชการหลายจังหวัด ว่างๆ ก็กลับมาปลูกไม้ เพราะรอบๆ บ้านพักเมื่อก่อนมีแต่ป่า และแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 โซน โดยโซนแรกเป็นป่าปล่อย ตามแนวพระราชดำริของในหลวง ปล่อยไว้ให้เป็นธรรมชาติไม่ต้องไปตัดไปรังแก มีทั้งเถาวัลย์ ต้นไม้ใหญ่ต้นไม้เล็ก เขาจะต่อสู้กันเอง โซนที่ 2 เป็นป่าปลูกอยากได้ไม้อะไรก็ไปปลูก ส่วนใหญ่เป็นไม้ป่า เช่น ไม้ยาง ไม้สัก ไม้พะยูง ไม้มะค่าโมง ฯลฯ โซนที่ 3 เป็นไม้ดอก ไม้ประดับ ส่วนใหญ่เป็นไม้หอม เนื่องจากเป็นคนชอบไม้หอม ส่วนโซนสุดท้ายเป็นไม้ที่รับประทานได้ เป็นพวกไม้สวน ผักสวนครัว ฟัก แฟง แตงโม ฯลฯ


อดีตผู้ว่าฯ ลูกชาวนา กล่าวต่อว่า สำหรับวัตถุประสงค์ในการทำการเกษตรต่างๆ นั้น อดีตผู้ว่าฯ ลูกชาวนา เปิดเผยว่า ไม่มีเจตนาที่จะทำขาย เพราะชื่อบ้านก็ใช้ชื่อ "สังฆทาน" และ "ร่มบุญ" อยู่แล้ว ชาวบ้านแถวนี้หรือคนเดือดร้อนใครจะมาเอาไปกินได้หมดแต่ขอร้องอย่าเอาไปขาย ส่วนใหญ่จะเอาผลผลิตที่ได้ไปฝากพรรคพวกเพื่อนฝูง สิ่งที่ได้จากการปลูกป่าปลูกพืชผักต่างๆ คือ ฝูงสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นนกต่างๆ กระรอก กระแต ฯลฯ จะมาใช้ที่นี่เป็นแหล่งอาหาร เช้าๆ จะมีบรรยากาศธรรมชาติ เสียงนกต่างๆ จะมาปลุกให้ลุกขึ้นไปทำงาน ที่สำคัญที่นี่ไม่มีสารพิษ ปุ๋ยจะใช้ปุ๋ยขี้วัวซึ่งเป็นปุ๋ยธรรมชาติ

"อยากเตือนการใช้ชีวิตแบบติดดินว่า การใช้ชีวิต ต้องให้รู้คุณค่าของชีวิต ไม่มีใครดี 100% ไม่มีใครชั่วไปทั้งหมด มีได้ต้องมีเสีย หากเราอยากได้ต้นไม้ เราก็ต้องเต็มใจกวาดใบไม้ แล้วนำใบไม้ไปหมกเป็นปุ๋ยนำกลับมาใส่ต้นไม้ ให้เจริญเติบโตเป็นวัฏจักร ตนเองตื่นตั้งแต่ตี 5 ทุกวัน กวาดใบไม้และดูแลต้นไม้ได้ออกกำลังเหงื่อชุ่มตลอด สายๆ ก็รดน้ำต้นไม้เหมือนคุยกับต้นไม้ไปด้วย เห็นเขาเจริญเติบโตตลอดเวลา เบ็ดเสร็จที่ทำทั้งหมดจะได้ธรรมชาติคืนมา ขณะนี้อากาศกำลังร้อน แต่พื้นที่นี้จะร้อนน้อยกว่าที่อื่นเพราะธรรมชาติยังร่มรื่น" ดร.ปรีชา กล่าว

...


อดีตผู้ว่าฯ ปรีชา กล่าวอีกว่า วันว่าง และวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ จะพักผ่อนที่บ้านพร้อมทั้งทำการเกษตรที่รักตลอดทั้งวัน ส่วนวันธรรมดา ยังมีภารกิจที่หน่วยงานทางการศึกษาที่เห็นคุณค่าเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษและเป็น วิทยากรตามหน่วยงานต่างๆ ซึ่งก็เต็มใจไปบรรยายให้เพราะเป็นข้าราชการบำนาญ ยังกินเงินเดือนชาวบ้านอยู่ เมื่อไปสอนหนังสือสวมเนกไท ใส่สูทโก้ แต่พอกลับมาลงบ้านถอดสูทจริง หันมาใส่สูทของชาวนา นั่นคือชุดชาวนาแทน อยู่กับธรรมชาติสบายใจ ไม่รบกวนใคร

เมื่อถามว่าหลักในการดำเนินชีวิตที่หันมาเป็นเกษตรกรของอดีตผู้ว่าฯ เป็นอย่างไร อดีตผู้ว่าฯ หลายจังหวัด กล่าวว่า ที่ทำอยู่ตรงนี้ถามว่า ทำแล้วเดือดร้อนตัวเองหรือเปล่า รบกวนตัวเองหรือเปล่า ทำให้ใครเดือดร้อนไหม หากตัวเองไม่เดือดร้อน ครอบครัวเดือดร้อนหรือเปล่าหากครอบครัวไม่เดือดร้อนแล้วสังคมเดือดร้อนหรือเปล่า เมื่อสังคมไม่เดือดร้อน ประเทศชาติเดือดร้อนไหม หากไม่เดือดร้อนก็ทำ ตนคิดว่าในชีวิตคน ถ้าคิดดี ทำดีต้องทำเดี๋ยวนี้ แค่คิดชีวิตไม่เป็นสุข ถ้าจะให้ชีวิตมีความสุขต้องทำมันถึงจะสุข ร้อยรู้หรือจะสู้หนึ่งทำ หากใครอยากจะมาดูบ้านดูการทำเกษตรของตนเองก็มาดูได้ ไม่ได้หวงอะไร ตนจะว่างแค่เสาร์-อาทิตย์ เพราะวันอื่นจะติดภารกิจไปเป็นวิทยากรพิเศษ

อดีตผู้ว่าฯ ลูกชาวนา กล่าวด้วยว่า ขณะรับราชการเป็น ผวจ.กลับบ้านพักก็จะกวาดบ้าน กวาดถนนหน้าบ้านเอง เคยมีคนถามว่าเป็นผู้ว่าฯทำไมต้องมากวาดบ้าน กวาดถนนเอง ตนจึงตอบไปว่า ผู้ว่าฯ ไม่ใช่คนหรือไง ผู้ว่าฯ ก็เป็นคนก็ต้องทำได้ เราต้องอยู่อย่างคน อย่าอยู่แบบเทวดา ถ้าทุกคนอยู่แบบรู้บทบาทของตัวเอง ช่วยสังคมกันไป สังคมก็จะเป็นสุข บ้านเมืองก็จะเป็นสุข และที่สำคัญตัวเองก็จะเป็นสุข ครอบครัวก็เป็นสุข แค่นี้ก็จบแล้วประเทศไทย.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แห่ชื่นชม! 'อดีตผู้ว่าฯ สองแคว' ใช้ชีวิตหลังเกษียณตามเศรษฐกิจพอเพียง

...