จนท.ตรวจยึดเป้สนามที่ใช้ในการขนไม้หอม-ไม้พะยูงเอาไว้ได้เมื่อเร็วๆ นี้ เหตุเกิดชายป่าอุทยานแห่งชาติทับลาน จึงทำลายและขยายผลต่อไป

ขบวนการค้าไม้กฤษณายังเหิมเกริม ตร.ยังคงตามล่าแก๊งมอดไม้ ที่ลั่นไกสังหารป่าไม้ภูเขียว ที่เข้าไปขวางขบวนการค้าไม้หอมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดหนีเตลิดเข้าไปในเขตป่าน้ำหนาวที่อยู่ติดกันแล้ว ผกก.ห้วยยาง มั่นใจได้ตัวเมื่อไหร่ ขยายผลถึงนายทุนจอมบงการได้เมื่อนั้น เช็กราคารับซื้อถึงกับอึ้ง "แก่น" ของไม้หอมซื้อ-ขาย กันในราคา กก.ละ 3 แสนบาท แฉนายทุนไทยจ้างแรงงานต่างด้าวเข้าป่าตัดไม้หอมกันโจ๋งครึ่ม...

จากกรณีแก๊งมอดไม้ลักลอบตัดไม้กฤษณา หรือ ไม้หอม เหิมเกริมใช้อาวุธปืนลูกซองยิงใส่นายประสิทธิ์ คุ้มหมู่ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว (ทุ่งกะมัง) จ.ชัยภูมิ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งหลังเกิดเหตุตำรวจสนธิกำลังทหารและเจ้าหน้าที่อุทยานฯ กระจายกำลังตามล่ามือปืน และกดดันจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดี จนกระทั่งวันที่ 19 ต.ค. ได้มีผู้ร่วมขบวนการ 2 คน คือ นายสอง คลังสิน และนายอาทิตย์ คลังสิน ติดต่อเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน ขณะที่มือปืน คือ นายบุญเลง สายทองคู่ กับหลานชาย ยังคงหลบหนีอยู่ในเขตป่าน้ำหนาวที่ตั้งอยู่ติดกัน ตามที่ "ไทยรัฐออนไลน์" นำเสนอไปนั้น

ความคืบหน้าวันที่ 5 พ.ย. พ.ต.อ.สุริยา จักรโนวรรณ ผกก.สภ.ห้วยยาง จ.ชัยภูมิ เปิดเผยกับทีมข่าว "ไทยรัฐออนไลน์" ถึงความคืบหน้าในการติดตามจับกุมคนร้ายที่เหลือ ว่า ขณะนี้ตำรวจยังคงลงพื้นที่หาข่าวเพื่อติดตามจับกุมนายบุญเลง คนลั่นไก เเละนายอานนท์ วงศ์สนาม ซึ่งเป็นหลานชาย ที่ยังหลบหนีการจับกุมอยู่ ล่าสุดทราบว่ายังกบดานอยู่ในแถบป่าน้ำหนาว เขต จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นรอยต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว โดยทางตำรวจเเละเจ้าหน้าที่อุทยาน มีการเดินลาดตระเวนในพื้นที่ป่า เพื่อติดตามคนร้าย และหากจับได้ก็จะสามารถขยายผลถึงกลุ่มนายทุน ที่รับซื้อไม้กฤษณาในพื้นที่ได้อย่างเเน่นอน เพราะพวกนี้ทำเป็นขบวนการ

...

"ในส่วนของผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวก่อนหน้านี้ คือ นายอาทิตย์ และนายสอง ยังให้การไม่เป็นประโยชน์ อ้างว่าถูกนายบุญเลง ชักชวนให้มาตัดไม้กฤษณา ไม่เคยรู้จักกับกลุ่มนายทุนเเต่อย่างใด หลังจากนี้ตำรวจจะเร่งสรุปสำนวนส่งฟ้องภายในเดือนนี้ แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะสืบทราบมาว่าคนร้ายได้เข้าป่าหาไม้กฤษณามาหลายครั้งแล้ว ทำรายได้อย่างมากมายมหาศาล" ผกก.สภ.ห้วยยาง กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับขบวนการค้าไม้หอม จะทำกันเป็นขบวนการใหญ่ มีนายทุนที่มีทั้งคนไทย และนายทุนกัมพูชา ไปติดต่อว่าจ้างเเรงงานชาวกัมพูชาหรือมอญ รวมทั้งคนไทย ให้เข้าไปลักลอบตัดไม้หอมภายในป่าอุทยานฯ โดยแรงงานเหล่านี้ จะถูกพามาปล่อยเข้าป่าครั้งละ 40-50 คน เพื่อหาไม้หอม รวมทั้งไม้พะยูงที่ขึ้นตามธรรมชาติ นำมาขายให้นายทุนเพื่อส่งต่อไปยังโรงงานผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ตามที่ต้องการ เพื่อส่งขายยังต่างประเทศ เช่น ในแถบตะวันออกกลาง จีน ไต้หวัน และประเทศแถบยุโรป

ข่าวแจ้งด้วยว่า สนนราคาไม้หอม หากได้เป็นแก่นไม้ ซึ่งมีลักษณะสีดำ จะดีดตัวอยู่ที่กิโลกรัมละ 1-3 แสนบาท เลยทีเดียว หากไม่ได้แก่นไม้ ก็จะได้เนื้อไม้ที่เข้าคุณสมบัติเป็นสีดำ ที่สามารถนำไปต้มทำน้ำมันหอมได้ ราคาขายจะลดหลั่นลงมา ส่วนอื่นๆ ของต้นกฤษณา อย่างไม้ ท่อนไม้ ราก และผงกฤษณา ที่ทำมาจากเศษไม้ที่เหลือจากการกลั่นน้ำมัน ซึ่งจะนำไปทำธูปหอม ก็สามารถนำไปขายได้เช่นกัน แต่ราคาไม่สูงมากนัก มีต้ังแต่ราคาหลักร้อย ไปจนถึงหลักพันบาท ต่อ 1 กิโลกรัม สำหรับแก่นไม้ที่นำไปกลั่นเป็นน้ำมันหอมระเหย ราคาขายก็เป็นไปตามคุณภาพ และความพึงพอใจในการซื้อขายเช่นกัน ซึ่งน้ำมันกฤษณา จะขายเป็นหน่วยที่เรียกว่า "โตร่า" โดย 1 "โตร่า" เท่ากับ 12.5 ซีซี หากเป็นน้ำมันกฤษณาเกรดดีเยี่ยม จะขายถึงโตร่าละ 3-4 หมื่นบาท ด้วยรายได้ที่มากมายจึงทำให้ขบวนการค้าไม้หอมกลับมาเหิมเกริมอีกครั้ง (ติดตามเบื้องหลังตีแผ่ขบวนการค้าไม้กฤษณาได้ใน "ไทยรัฐทีวี" ช่วงไทยรัฐนิวส์โชว์ ค่ำวันที่ 6 พ.ย.)