ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายเข้าไปทุกที หลังจากยืนยงบนผืนน้ำคลองโอ่งอ่างมาเกือบ 40 ปี วันนี้ตลาดสะพานเหล็ก กำลังจะเหลือแต่ชื่อ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงลงพื้นที่รวบรวมทุกๆ คำถามที่ค้างคาใจของผู้ค้า ว่าเหตุไฉน และจำเป็นแค่ไหนกันนักเชียว จึงต้องรื้อตลาดชื่อดังขวัญใจนักช็อปเช่นนี้?? และทุกๆ ข้อสงสัย จะต้องได้รับคำตอบที่ชัดเจน จนสิ้นสงสัย จาก พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แบบคำต่อคำ...

ตลาดสะพานเหล็ก แหล่งรวมสินค้าเพื่อความบันเทิงใจกลางกรุง มีประวัติศาสตร์ยาวเกือบ 40 ปี เริ่มตั้งแต่เป็นตลาดขายปลาสวยงาม อาหารโต้รุ่ง อีกทั้งในปี 2519 คลองโอ่งอ่างซึ่งเป็นที่ตั้งของสะพานเหล็กในปัจจุบัน ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ต่อมา กรุงเทพมหานครได้จัดจุดผ่อนผันให้พ่อค้าคลองถม เข้ามาขายในพื้นที่ริมฝั่งของคลองโอ่งอ่างได้ โดยให้บริษัทรับสัมปทานในการบริหารจัดการอยู่ 10 ปี แต่เมื่อหมดสัญญาพ่อค้าแม่ค้าก็ยังคงทำมาค้าขายอยู่ในพื้นที่มาโดยตลอด จึงมีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น ในที่สุด วันนี้ กทม. ดำเนินนโยบายขั้นเด็ดขาดเพื่อจะรื้อถอนสะพานเหล็กทิ้ง ด้วยนโยบายปรับปรุงภูมิทัศน์และคืนพื้นที่สาธารณะให้แก่ส่วนรวม

...

อยู่มาเป็นสิบๆ ปี ไฉนวันนี้ กลับกลายมาโดนกล่าวหา ว่ารุกที่สาธารณะ

(ถาม) นายวิโรจน์ ติรบรรเจิด เจ้าของร้านขายอุปกรณ์เล่นเกม ผู้ซึ่งสืบทอดกิจการมาเป็นรุ่นที่ 2 ต่อจากรุ่นแม่ ตั้งปุจฉาแรก กับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่าตลอดระยะเวลาที่รู้จักสะพานเหล็กมาเป็นเวลากว่า 40 ปี ตั้งแต่ครั้งที่เป็นร้านของแม่ จนตนรับช่วงต่อมาเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ที่ผ่านมาไม่เคยมีข่าวการรื้อถอนสะพานเหล็ก แต่ทำไมวันนี้ จู่ๆ กทม. จะมาทำการรื้อถอน โดยยกสาเหตุแค่ว่า ขวางลำน้ำสาธารณะ ทั้งๆ ที่เริ่มต้น กทม. ก็เป็นคนอนุญาตให้พ่อค้าแม่ค้าเข้ามาค้าขายบนพื้นที่นี้เอง

(ตอบ) พล.ต.ต.วิชัย ขอชี้แจงถึงเรื่องนี้ ว่า  กทม. ได้เริ่มจัดให้มีจุดผ่อนผันกับพ่อค้าแม่ค้าคลองถมให้เข้ามาขายในบริเวณด้านข้างคลองโอ่งอ่าง ต่อมามีบริษัทแห่งหนึ่ง ได้มาประมูลเพื่อขอสัมปทานจัดสรรพื้นที่ให้กับ กทม. เป็นเวลา 10 ปี ในเวลานี้ก็ได้มีการบุกรุกสร้างโครงเหล็กขึ้นมาคร่อมคลองโอ่งอ่าง และมีผู้ค้าเข้ามาตั้งร้านค้าเพิ่มเป็นจำนวนมาก และตรงนี้นี่เองที่กลายมาเป็นตลาดสะพานเหล็ก ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อบริษัทที่ได้รับสัมปทานหมดสัญญาลง พ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้น กลับไม่ได้ย้ายออกไปด้วย จึงเกิดการฟ้องร้องกันขึ้นระหว่าง กทม. กับผู้ค้า ซึ่งผลปรากฏว่า กทม. ชนะคดี แต่ผู้ค้ายังคงดื้อดึงที่จะอยู่แบบผิดกฎหมายต่อไป

รื้อสะพานเหล็ก ผู้บริโภคสูญแหล่งซื้อของถูกกว่าห้าง!

(ถาม) นายวิโรจน์ ติรบรรเจิด เจ้าของร้านขายอุปกรณ์เล่นเกม กล่าวต่อว่า หากวันหนึ่งข้างหน้าต้องย้ายร้านไปอยู่ในห้างสรรพสินค้า พ่อค้าแม่ค้าที่นี่จะต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะลักษณะของตลาดนั้นแตกต่างกัน ที่สะพานเหล็กสามารถขายสินค้าได้ถูกเพราะเราไม่เสียค่าเช่าที่ ซึ่งสินค้าราคาถูกคือจุดขายของสะพานเหล็กที่ใช้ดึงดูดลูกค้า ร้านค้าที่นี่ก็มีหลายร้าน ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าจะแบ่งสินค้ากัน ร้านไหนไม่มีอะไรก็จะโทรให้ร้านอื่นเอามาส่งให้ ลูกค้าจึงสามารถซื้อสินค้าทั้งหมดได้ที่ร้านค้าร้านเดียว แต่บนห้างสรรพสินค้าจะต้องเสียค่าเช่า อย่างที่ เมก้าพลาซ่าวังบูรพา คิดค่าเช่าร้านเดือนละ 6,000 – 7,000 บาท จึงทำให้ราคาสินค้าต้องปรับสูงขึ้น ผู้ค้าก็มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น 

(ตอบ) พล.ต.ต.วิชัย ให้คำตอบว่า “ผมเข้าใจว่าพ่อค้าแม่ค้านั้นเดือดร้อน แต่คุณก็ต้องเห็นความเดือดร้อนของคนอื่นที่มีจำนวนมากกว่าด้วย สิทธิคนอื่นเขาก็มีเหมือนกัน อย่าเอาสิทธิของตัวเองเป็นหลัก” การมาเปิดร้านค้าอยู่ในตอนนี้ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายมาช้านาน ถึงเวลาที่ต้องคืนให้กับสังคมได้แล้ว ผมกล้าพูดได้เลยว่า เจ้าของร้านค้าที่สะพานเหล็ก หากอยากจะขายของก็สมควรต้องลงทุนบ้าง หรือถ้าไม่อยากจ่ายค่าเช่าแพงๆ ก็ไปขายในจุดที่ กทม. มีไว้รองรับ แต่บริเวณที่ตั้งอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นที่ที่ทุกคนมีสิทธิใช้ ไม่ใช่เป็นที่แสวงหาผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง

...

อ้างจ่ายค่าเช่ามาตลอด มีใบเสร็จรับรอง เหตุใดถึงบอกว่าผิดกฎหมาย

(ถาม) เจ๊หมวย เจ้าของร้านขายนาฬิกาเก่าแก่ไม่ต่ำกว่า 20 ปี กล่าวว่า ถ้าไม่มีการชำระค่าใช้จ่ายอะไรเลย เราจะอยู่มานานขนาดนี้ได้อย่างไร? แต่มาวันนี้ กทม. บอกว่าจะปรับปรุงภูมิทัศน์ พื้นที่สะพานเหล็กจะต้องถูกรื้อถอนออกไป แล้วทำไมเมื่อก่อนถึงยังมีการเก็บค่าเช่า ทั้งๆ ที่บอกว่าผิดกฎหมาย ขณะที่แหล่งข่าวอีกท่านหนึ่ง เปิดร้านขายของเล่นที่สะพานเหล็กมา 10 ปี กล่าวยืนยันกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เช่นกันว่า ที่ผ่านมา มีการจ่ายค่าเช่าให้กับกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง และมีการออกใบเสร็จรับรองให้ด้วย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของ กทม. หรือไม่ แต่เมื่อมีข่าวว่าจะมีการรื้อถอนสะพานเหล็ก กลุ่มบุคคลเหล่านั้นก็ได้หายไป

(ตอบ) ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า หลังจากบริษัทที่ได้รับสัมปทานจาก กทม. หมดสัญญาลง ทาง กทม. ได้จัดให้มีการทำตลาดและเก็บค่าบริการเฉพาะบริเวณริมคลองโอ่งอ่างเท่านั้น แต่ร้านที่ตั้งขึ้นบนโครงเหล็กกลางลำคลอง ไม่มีสิทธิเรียกเก็บอยู่แล้ว เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ส่วนร้านค้าที่อยู่ริมคลอง คณะกรรมการเกาะรัตนโกสินทร์ มีมติให้ยกเลิกร้านค้าบริเวณนั้นทั้งหมด ในปี 2543 ทาง กทม. ก็ไม่ได้มีการเรียกเก็บค่าเช่าอีกเลยนับจากนั้นเป็นต้นมา ส่วนที่บอกว่ามีการเรียกเก็บค่าเช่านั้น เชื่อว่ามีจริง เพราะที่อาศัยอยู่มาได้นานขนาดนี้ จะต้องมีการเอื้อประโยชน์ต่อกันระหว่างพ่อค้ากับเจ้าหน้าที่ แต่ทางเรายังไม่มีหลักฐาน ถ้าใครมีหลักฐานสามารถร้องเรียนได้เลย ทาง กทม. จะลงโทษด้วยการไล่ออกสถานเดียว พล.ต.ต.วิชัย กล่าวอย่างหนักแน่น!

...

เปลี่ยนผู้ว่าฯ มากี่สมัย ไม่เห็นเคยมีใครคิดจะรื้อ สงสัยมีวาระซ่อนเร้น แค่อยากเร่งใช้งบฯ

(ถาม) นายวีระศักดิ์ เตชจิรัฐกาล พ่อค้าวัยกลางคน ขายของที่สะพานเหล็กมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า มีหลายกระแสข่าวเกี่ยวกับสาเหตุการรื้อสะพานเหล็ก อย่างภาครัฐเขาบอกว่าจะปรับปรุงภูมิทัศน์ แต่ก็มีอีกกระแสที่บอกว่ามีงบประมาณมาต้องรีบใช้ เพราะผู้ว่าฯ กำลังจะหมดวาระ ซึ่งเรื่องจริงนั้นจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้ว่าฯ คนไหนคิดจะรื้อที่นี่เลย

(ตอบ) ฝ่ายกรุงเทพมหานครชี้แจงโดยผู้การแต้ม กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ได้มีจดหมายไปถึงกลุ่มผู้ค้าสะพานเหล็กให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ออกไป แต่การที่เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลยไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะมีการเอื้อประโยชน์ต่อกัน อีกทั้งผู้ว่าฯ แต่ละคนที่ผ่านมา ก็มีนโยบายที่ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่นในสมัยท่านสมัคร สุนทรเวช ท่านจะเอาใจผู้ค้าหาบเร่แผงลอยเป็นพิเศษ ในยุคนั้นเทศกิจคนไหนไปจับพ่อค้าแม่ค้า มีสิทธิโดนเด้งได้ง่ายๆ ยุคนั้นจึงเป็นยุคที่หาบเร่แผงลอยไร้ระเบียบมากที่สุด แต่ในสมัยของผู้ว่าฯ กทม. คนปัจจุบัน ได้เอาจริงเอาจังกับการปรับปรุงภูมิทัศน์ของ กทม. เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเกิดประโยชน์ต่อสาธารณะมากที่สุด  

...

เดิมที กทม. มีนโยบายในการจัดระเบียบอยู่แล้ว ยิ่งช่วงหลังมีคนร้องเรียนมาที่ กทม. และร้องเรียนไปที่รัฐบาลเพิ่มมากขึ้น จึงเริ่มมีการจัดระเบียบแบบจริงจัง โดยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งกองทัพบก ตำรวจ และ กทม. ร่วมมือกันจนสามารถดำเนินการได้สำเร็จ ผู้การแต้มกล่าว

ปัญหาเรื้อรัง เสี่ยงอัคคีภัย-ความมั่นคง สั่งสม อิทธิพลมาเฟีย ขวางทางระบายน้ำ บ่อเกิดขยะ

(ถาม) เหตุผลอีกข้อหนึ่งของการรื้อสะพานเหล็ก ที่ทาง กทม. อ้างว่า มีชาวต่างชาติมาเปิดร้านค้าในบริเวณตลาดสะพานเหล็ก ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคง หรือเรื่องพื้นที่ที่แออัดคับแคบ สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอัคคีภัย รวมถึงขวางทางระบายน้ำนั้น นายวีระศักดิ์ เตชจิรัฐกาล พ่อค้าสะพานเหล็กอีกคน ให้ความเห็นกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า เหตุผลข้อนี้ ส่วนตัวมองว่า เป็นเพียงการหาข้ออ้างของ กทม. โดยพยายามหยิบยกเรื่องไม่ดีต่างๆ มานำเสนอ เพื่อหาแนวร่วม ทั้งๆ ที่ อาจไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด โครงสร้างรากฐานของตลาดเป็นเพียงแค่เสาต้นเล็กๆ ไม่ได้กีดขวางทางน้ำจนถึงกับระบายไม่ได้ พื้นที่ด้านบนเป็นพื้นที่ปิด ไม่มีทางที่จะทิ้งขยะลงไปได้

อีกอย่างที่ กทม. เอามาประชาสัมพันธ์ไว้ว่า ที่สะพานเหล็กมีปัญหาด้านความมั่นคงเพราะต่างด้าวมาเช่าเปิดร้านค้า มันจะเป็นไปได้อย่างไร ผมอยู่มาเป็นสิบๆ ปี ยังไม่เคยเห็นสักร้าน ถ้าเป็นที่เสือป่าพลาซ่าก็ว่าไปอย่าง แต่ที่นี่ต่างด้าวจะเอาเงินที่ไหนมาเปิดร้าน?? หรืออย่างที่บอกว่า เสี่ยงที่จะเกิดอัคคีภัยและวินาศภัย มันเป็นไปไม่ได้หรอก สินค้าทุกร้านรวมๆ กัน ราคาหลายล้านบาท คงไม่มีพ่อค้าแม่ค้าคนไหน ยอมให้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น นายวีระศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย

(ตอบ) พล.ต.ต.วิชัย ยืนยันว่า วันข้างหน้า เมื่อมีการรื้อสิ่งปลูกสร้างออก การระบายน้ำของ กทม. ก็จะดีขึ้น เพราะไม่มีอะไรมาขวางทางน้ำ เรือก็สามารถสัญจรไปมาได้อีกครั้ง ส่วนเรื่องมลภาวะและขยะต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพราะขยะไปติดค้างตามเสาของสิ่งปลูกสร้างเหนือคลอง เกิดเป็นปัญหาขยะสะสม เมื่อรื้อไปแล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น  

ปัญหาต่างด้าวหากไม่มีจริง เจ้าหน้าที่คงนำมาพูดไม่ได้ ส่วนใครที่เคยเป็นหัวโจก ทำตัวเป็นมาเฟีย หรือพวกที่เคยมาเก็บผลประโยชน์จากที่นี่ ตอนนี้เจ้าหน้าที่รู้ชื่อหมดแล้ว เดี๋ยวคงต้องมีการจัดการตามมา

กทม.ใจดำ ขอยืดเวลาอีกแค่ 90 วัน ระบายสต๊อก ไฉนให้ไม่ได้  

(ถาม) กลุ่มชมรมพ่อค้าแม่ค้าสะพานเหล็กได้รวมตัวกันยื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯ กทม. และหน่วยงานต่างๆ ขอยืดเวลาออกไปอีก 3 เดือนนั้น ไม่ได้ต้องการจะยื้อเวลา แต่ขอเพื่อตระเตรียมการย้ายออกและไปหาสถานที่ใหม่ เพราะเราต้องใช้เวลาในการขนย้ายนานพอสมควร โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ แล้วยังมีสินค้าอีกจำนวนมาก ซึ่งต้องหาสถานที่ที่สามารถรองรับสินค้าทั้งหมดที่มีอยู่ของร้านได้ 

ผู้ค้าอีกคน ยังกล่าวเสริมว่า ตอนนี้เวลาขนย้ายไม่พอ เพราะสถานที่ตั้งของร้านใหม่ อยู่ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีกฎให้ขนของได้เฉพาะเวลา 6 โมงเย็น ถึง 3 ทุ่ม เวลาขนของก็ต้องทำเรื่องทุกครั้ง

(ตอบ) ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า กลุ่มผู้ค้าที่ยื่นหนังสือ ขอยื่นระยะเวลาเพื่ออยู่ต่ออีก 90 วัน ทางคณะกรรมการได้ประชุมและพิจารณาแล้วว่า หนังสือที่ยื่นนั้นลักษณะคล้ายกับเป็นการประวิงเวลา เพราะบางจุดนั้น ไม่ได้เป็นร้านค้าแต่ทำไว้เป็นโกดังเก็บของ และเจ้าหน้าที่ได้สำรวจเป็นทางลับก็พบว่า คนที่เคยขายของอยู่บริเวณสะพานเหล็ก ส่วนใหญ่ได้ย้ายไปเช่าร้านค้ารอบๆ บริเวณนั้นเกือบทั้งหมดแล้ว อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้างประมาณ 100 ร้านค้า ซึ่งในจำนวนนี้อาจจะไปเช่าร้านค้าที่อื่นไว้แล้ว แต่ไม่ยอมบอก

เราได้แจ้งล่วงหน้าเป็นเดือนแล้ว ว่าให้รื้อถอนร้านค้าออกให้หมดภายในวันที่ 22 ตุลาคม ซึ่งจริงๆ เวลานี้ ร้านค้าต้องย้ายออกไปหมดแล้ว แต่ผมยังให้อยู่ได้ก่อนในจุดที่เรายังรื้อไปไม่ถึง แล้วถามว่ามีความจำเป็นไหมที่จะประวิงเวลาออกไป อีก 3-6 เดือน?? ทางเราพิจารณาแล้วว่าไม่มีความจำเป็น จึงมีมติที่จะไม่ขยายเวลาให้กับผู้ค้า หากจุดไหนที่เรายังไม่รื้อถอน ก็จะให้ขายต่อไปได้ แต่เมื่อการรื้อถอนไปถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ ร้านค้าเหล่านี้จะต้องไม่มีแล้ว ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. กล่าวในที่สุด