สารวัตรเผชิญหน้า ชี้แจงเสียงลั่นโรงพัก โต้สาวเสริมสวยแจ้งความขู่ฆ่า เหตุทวงหนี้แฟนสาวที่ชักชวนร่วมหุ้นทำธุรกิจซื้อขายทองคำ สูญ 1.5 ล้าน ยืนยันพร้อมสู้คดี พร้อมน้อมรับคำตัดสินกระบวนการยุติธรรม...
จากกรณี น.ส.เจนจิรา เพชรพันทอง อายุ 39 ปี เจ้าของร้านเสริมสวย ขายเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า และมีหุ้นส่วนทำธุรกิจลงทุนซื้อขายทองรูปพรรณกับเครื่องประดับ อยู่บ้านเลขที่ 42/367 ซอยเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งเหนือ แขวงและเขตหนองแขม กทม. เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.วิโรจน์ เทพหนู พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ สน.ภาษีเจริญ ให้ดำเนินคดีกับนายตำรวจสังกัดโรงพักแห่งหนึ่งในนครบาล ข้อหาทำให้ตกใจกลัวด้วยการขู่เข็ญ เนื่องจากเจ้าตัวถูกส่งข้อความข่มขู่มาทางโทรศัพท์ หลังเอ่ยปากทวงเงินปันผลธุรกิจค้าทองคำนับล้านบาท จาก น.ส.โรส (นามสมมติ) อายุ 31 ปี ผู้เป็นแฟนสาว ตามรายงานประจำเกี่ยวกับคดีที่รับแจ้งความเอาไว้เมื่อวันที่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 ต.ค. 58 น.ส.เจนจิรา ได้เดินทางมาที่ สน.ภาษีเจริญ เพื่อเข้าสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับคดี พร้อมนัดพบกับคู่กรณี ทั้งนายตำรวจยศ พ.ต.ต. และ น.ส.โรส (นามสมมติ) ที่หน้าโรงพัก โดยทั้งสองฝ่ายนำหลักฐานหลายอย่างมาแสดงต่อกัน และมีการโต้เถียงกันเสียงดังลั่นโรงพัก ซึ่ง น.ส.เจนจิรา กล่าวว่า วันที่เดินทางมาแจ้งความนั้นทาง พ.ต.ท.วิโรจน์ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี แจ้งว่า นายตำรวจคู่กรณีลาพักร้อน และจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 15 ต.ค. ตนก็รอว่าเมื่อใดจะมีความคืบหน้า จึงเดินทางมาติดตามด้วยตนเอง ทราบว่า ตอนนี้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน กับตำรวจนายดังกล่าวแล้ว และมีการนัดหมายให้ตนเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง ในวันที่ 20 ต.ค. นี้ ส่วนคดีฉ้อโกงนั้น เป็นอีกคดีหนึ่งที่ตนเดินทางไปแจ้งความกับ พ.ต.ท.สมชาย โพธิ์สุวรรณ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.5 บก.ปอศ.ให้ดำเนินการกับ น.ส.โรส ตามยอดเงินที่ตนเสียหายจากการลงทุน มูลค่าทั้งสิ้น 1,655,000 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างออกหมายเรียกคู่กรณีไปพบที่ บก.ปอศ.
...
ด้าน นายตำรวจยศ พ.ต.ต. เปิดเผยว่า ตนยอมรับว่า ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนจริง โดยส่งหนังสือชี้แจงกับผู้บังคับบัญชาไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา สำหรับเรื่องการลงทุนทางธุรกิจระหว่าง น.ส.เจนจิรา กับ น.ส.โรส แฟนสาวตนนั้น ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าดำเนินการกันรูปแบบไหน อย่างไร ตนเพิ่งรู้เรื่องก็เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 58 ที่ น.ส.เจนจิรา มาพบตนที่โรงพักเพื่อถามหา น.ส.โรส และใช้วาจาในลักษณะทวงหนี้สิน ทำให้ตนได้รับความอับอายอย่างมาก ส่วนข้อความที่ส่งหาคู่กรณีนั้นตนไม่ได้ข่มขู่ และไม่มีความคิดที่จะรังแกประชาชน เนื่องจากก่อนหน้านี้ก็มีการโทรศัพท์พูดด่าทอกันไปมาอยู่แล้ว หลังจากนี้ตนจะใช้สิทธิสู้คดีในฐานะนักกฎหมายคนหนึ่ง โดยตนขอให้การปฏิเสธ ทางผู้บังคับบัญชาจะตัดสินอย่างไรก็ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
ขณะเดียวกัน น.ส.โรส กล่าวว่า ทำธุรกิจกับ น.ส.เจนจิรา มานาน 1 ปีกว่า เพิ่งจะมีปัญหาเมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ดี เมื่อคู่กรณีแจ้งความกับตนในข้อหาฉ้อโกง กับทางพนักงานสอบสวน บก.ปอศ. แล้ว ก็จะขอต่อสู้โดยการนำหลักฐานทั้งหมดเข้าให้การกับพนักงานสอบสวนเช่นกัน ซึ่งตนสามารถประมาณคร่าวๆ ได้ว่า ที่ผ่านมาก็โอนเงินมูลค่าประมาณ 1.5-1.6 ล้านบาท ให้ น.ส.เจนจิรา ไปแล้ว แต่กระบวนการนี้ต้องขอเวลาไปรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเสียก่อน หากศาลตัดสินออกมาว่าตนผิด ก็จะน้อมรับคำตัดสิน และรับผิดชอบไปตามคำสั่งของศาล แต่ถ้าหากตนไม่ผิดก็ไม่จำเป็นจะต้องชดใช้กันอีก ขอยืนยันว่าไม่มีเจตนาจะฉ้อโกงกันแต่อย่างใด
ด้าน พ.ต.ท.วิโรจน์ กล่าวว่า หลังรับแจ้งความในข้อหาทำให้ตกใจกลัวด้วยการขู่เข็ญ ตนได้เสนอให้ผู้บังคับบัญชาทราบไปตามลำดับชั้น จนมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน กับตำรวจนายดังกล่าวแล้ว ซึ่งในวันอังคารที่ 20 ต.ค. นี้ จะมีการนัดหมายให้ น.ส.เจนจิรา เข้าให้ปากคำเพิ่มเติม โดยคดีดังกล่าวต้องระวางโทษจำคุกหนี่งเดือน ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากผลการสอบสวนออกมาแล้ว ตำรวจนายดังกล่าวผิดจริง และคู่กรณีไม่ยอมความก็จะต้องส่งสำนวนคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป.